ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ภาพรวมการท่องเที่ยวไทยที่เหลืออีกเพียง 2 เดือนสุดท้าย พบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดว่าจะเป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้คือ 35-36.7 ล้านคน เช่นเดียวกับรายได้ของภาคการท่องเที่ยว ที่มีงาน Thailand Winter Festivals กำลังจะเกิดขึ้นเข้ามากระตุ้นในช่วง 2 เดือนสุดท้าย ทำให้คาดว่ารายได้ทั้งระบบทั้งภาคส่วนบริการและการท่องเที่ยวน่าจะเป็นไปตามเป้าคือ 2.7-3 ล้านล้านบาท
ทำให้ ททท. มีแผนที่จะยกระดับการท่องเที่ยวด้วยนวัตกรรมทางการเงินให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางและเชื่อมโยงทางการเงินเพื่อใช้จ่ายทางการท่องเที่ยวอย่างไร้รอยต่อ โดยใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูลของวีซ่ามาใช้ต่อยอดในการทำแคมเปญการท่องเที่ยว รวมถึงการขยายจุดรับชำระเงินแบบดิจิทัลให้มากขึ้นเป็นตัวช่วยสำคัญให้นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอย
จึงได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย Reshaping Thailand’s Tourism with Innovation and Advanced Data Analytics” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศในปีท่องเที่ยว Thailand Grand Tourism Year 2025 กับวีซ่า ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก
“ความร่วมมือดังกล่าวจะมีส่วนสำคัญในการเสริมศักยภาพทางการท่องเที่ยว เพิ่มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศศักยภาพ 23 ตลาด ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยและสร้างรายได้มากกว่า 80% ของจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ผ่านฐานลูกค้าบัตรวีซ่าที่มีมากกว่า 1,400 ล้านบัตรทั่วโลก”
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้จะร่วมกันส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวโดยมีใจความสำคัญที่มุ่งเน้นไปที่ความร่วมมือหลัก 3 ด้าน ดังต่อไปนี้
1. การยกระดับในการทำเรื่องของแคมเปญด้านการตลาด ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของรัฐบาลทั้ง Soft power เสน่ห์ไทย และโครงการ “5 Must Do in Thailand” ประกอบด้วย Must Taste อิ่มอร่อยกับอาหารถิ่น Must Try สุดยอดกีฬาท้าทายกายใจ Must Buy หัตถกรรมล้ำค่าน่าซื้อฝาก Must Seek แสวงหาอันซีนถิ่นน่าเที่ยว และ Must See ละลานตาวัฒนธรรม เพื่อเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวมาร่วมสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำในประเทศไทย ค้นพบมุมมองใหม่ที่มีคุณค่า โดยวีซ่าจะมาช่วยในการขยายการเข้าถึงโครงการเหล่านี้ ไปจนถึงแหล่งท่องเที่ยวชุมชนต่างๆ
2. การขยายบริการของวีซ่าและโครงการ STAR (Sustainable Tourism Acceleration Rating: STAR): ขยายจุดรองรับการชำระเงินของวีซ่าในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก เพื่อพัฒนาระบบการให้บริการด้านการท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพ ส่งมอบประสบการณ์ทางการชำระเงินที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว พร้อมทั้งช่วยสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่น ชุมชนการท่องเที่ยว และผู้ประกอบการในโครงการ STAR ของ ททท.
3. การจัดโปรโมชั่นและแคมเปญร่วมกัน ทำการสื่อสารสร้างการรับรู้ในกลุ่มเป้าหมายร่วมกันเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาเยือนประเทศไทยผ่านการจัดโปรโมชั่นและแคมเปญต่างๆ อาทิ Summer festival, Winter festival และ Amazing Thailand Grand Sale ซึ่งจะจัดใหญ่ในปี 2568 ที่จะสอดคล้องกับปีแห่งการท่องเที่ยว
ปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า จากฐานลูกค้าของวีซ่าที่มีมากกว่า 160 ประเทศ รวมกว่า 1,400 ล้านบัตรทั่วโลก และยังมีฐานร้านค้าในประเทศไทยกว่า 400,000 ร้าน ที่ยังมีการขยายไปยังฐานร้านค้าขนาดเล็กเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน เพราะส่วนใหญ่การชำระเงินมักจะกระจุกตัวอยู่ในเขตเมืองหลวง เมืองท่องเที่ยว ดังนั้นจะเป็นการขยายไปสู่เมืองรองมากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าในปีนี้จะมีการขยายจุดรับชำระเงินร้านค้าเป็น 700,000 ร้าน
“วีซ่าจึงใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญระดับโลกของเราในเรื่องของโซลูชันทางการชำระเงิน และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง เมื่อการเดินทางทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น นักท่องเที่ยวระหว่างประเทศมีความต้องการเพิ่มขึ้นในเรื่องของประสบการณ์การชำระเงินที่ไร้รอยต่อ ปลอดภัย และไม่ต้องพึ่งเงินสด ความร่วมมือในครั้งนี้นอกจากจะช่วยหนุนธุรกิจท้องถิ่นในประเทศ ยังจะช่วยเปิดโอกาสใหม่ๆ ในภาคการท่องเที่ยว และเป็นอีกแรงผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืนอีกด้วย”
ภาพรวมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวขาเข้าเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนโควิด ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 90% เนื่องจาก Spending ต่อหัวสูงกว่าช่วงก่อนโควิด ซึ่งคาดว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการช่วยเพิ่มรายได้เข้ามายังประเทศไทย ส่วนในขาออกนักท่องเที่ยวไทยไปต่างประเทศ มีการใช้จ่ายสูงกว่าก่อนโควิดประมาณ 20% โดยส่วนใหญ่จะนิยมไปญี่ปุ่นเป็นอันดับหนึ่ง
“ส่วน Top 5 Spender ที่มีการใช้จ่ายผ่านบัตรวีซ่าในประเทศไทย ได้แก่ อเมริกา สิงคโปร์ จีน อังกฤษ ญี่ปุ่น โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรปจะใช้จ่ายกับ Fine dining และโรงแรมสูงขึ้นมาก ส่วนญี่ปุ่นจะใช้จ่ายกับอาหาร ดื่ม กิน เที่ยว ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนจะใช้จ่ายกับการซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้ามากกว่า 30% ทั้งนี้นักท่องเที่ยวอเมริกา พม่า กัมพูชา เวียดนาม มีการใช้จ่ายกับเฮลท์แคร์เพิ่มมากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม 70% ของการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติจะกระจายอยู่ในจังหวัดใหญ่ คือกรุงเทพฯ, ชลบุรี, ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี และใช้จ่ายในเมืองรองประมาณ 20% โดยที่เทรนด์จะมีแนวโน้มไปเมืองรองมากขึ้น
“ทั้งนี้ในประเทศไทยมีผู้ถือบัตรวีซ่าประมาณ 10 ล้านบัตร ซึ่งในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา การใช้จ่ายผ่านบัตรวีซ่าของคนไทยค่อนข้างอิงกับเศรษฐกิจในประเทศ เพราะขึ้นอยู่กับความมั่นใจของประชาชน โดยเซกเมนต์ที่เห็นผลกระทบเด่นชัด คือ กลุ่มแมส ส่วนใหญ่จะลดการใช้จ่ายในหมวดฟุ่มเฟือย เช่น แบรนด์เนม การทานอาหารนอกบ้าน ทั้งนี้กลุ่มบนค่อนข้างกระทบน้อย” ปุณณมาศ กล่าว
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/business_marketing
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney