กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW กล่าวว่า ที่ผ่านมา บริษัทได้เดินหน้าขยายทำเลพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูเก็ต ผ่านการเข้าถือหุ้นสัดส่วน 67.94% ในบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการ Leisure Residences ในภูเก็ต ภายใต้แบรนด์ “เดอะ ไทเทิล” (THE TITLE) ที่มีประสบการณ์มายาวนานกว่า 12 ปี และมีโครงการที่อยู่อาศัยกระจายอยู่ตามทำเลศักยภาพ 3 ทำเล คือ บางเทา ในยาง และราไวย์ ซึ่งเป็น Strategic Locations ที่โดดเด่นทั้งด้านการเดินทาง ความงดงามของธรรมชาติ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถรองรับการพักอาศัยระยะยาว (Long-Stay) และท่องเที่ยวระยะสั้น
“สำหรับย่านหาดบางเทา ภูเก็ต เทียบได้กับย่านทองหล่อ ในกรุงเทพฯ เนื่องจากราคาที่ดินที่สูงขึ้น และความหนาแน่นของผู้คนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม หากเอ่ยคำว่า ย่านบางเทา ลากูน่า เชิงทะเล หมายถึงสถานที่หรือย่านเดียวกัน และเป็นย่านที่ฮอตมากของภูเก็ตในเวลานี้” กรมเชษฐ์ กล่าว
สำหรับตลาดที่พักอาศัยของภูเก็ตในปัจจุบัน มี 4 กลุ่ม ได้แก่
ล่าสุด ASW ได้ปรับแผนเปิดตัวโครงการ Leisure Residences ในภูเก็ต โดยเปิดโครงการใหม่รวม 4 โครงการ ซึ่งมากกว่าแผนที่วางไว้ มูลค่าโครงการทั้งหมด 15,500 ล้านบาท ได้แก่
ทั้งนี้ ปัจจุบัน ASW และ TITLE มีคอนโดมิเนียมที่พัฒนาร่วมกันทั้งสิ้น 8 โครงการ มูลค่ารวม 31,500 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมยอดขายของ ASW มียอดขายสะสม 9 เดือนแรกปี 2567 ทั้งหมด 14,578 ล้านบาท โดยเป็นสัดส่วนที่มาจาก TITLE คิดเป็น 43% ของยอดขายสะสม
ทั้งนี้ ปัจจุบัน TITLE มี Backlog สะสมทั้งหมดราว 8,022 ล้านบาท เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ปี 2567 จากเดอะ ไทเทิล ฮาโล 1 (THE TITLE HALO 1) และคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้จากโครงการอื่นๆ ต่อเนื่องจนถึงปี 2570
เวคิน ตั้งกุลวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จังหวัดภูเก็ต ในเครือแอสเซทไวส์ กล่าวว่า บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับ Strategic Locations อย่างบางเทา เนื่องจากเป็นทำเลที่มีความงดงามของหาดทรายสีขาวละเอียดทอดตัวยาวตัดกับน้ำทะเลสีเทอร์ควอยซ์ แต่ยังรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งร้านอาหาร แหล่งไลฟ์สไตล์ สถานศึกษา โรงพยาบาล และแหล่งกิจกรรมมากมาย รองรับความต้องการของทุกคนในครอบครัว และยังเป็นครั้งแรกของแบรนด์ THE TITLE ที่พัฒนาอาคารที่พักอาศัยที่มีโซน “Pet-Friendly” ภายในโครงการ ตอบโจทย์คนรักสัตว์ ให้คนและสัตว์เลี้ยงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข เพื่อให้โครงการ THE TITLE เป็น Heaven Bestination ของทุกคน
สำหรับ “THE MODEVA” เป็นโครงการ Leisure Residences
ขณะที่ “THE TITLE ARTRIO BANG-TAO” เป็นโครงการ Leisure Residences
นอกจากนี้ บริษัทยังได้เปิดตัวธุรกิจใหม่ “The Esquire” ให้บริการด้าน Property Management ครอบคลุมทั้งทีมนิติบุคคลช่วยบริหารจัดการภายในโครงการ บริการจัดหาและประสานผู้เช่า บริการซักรีด และบริการทำความสะอาดภายในห้องพัก ช่วยดูแลทรัพย์สินและคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยทุกคนภายในโครงการ THE TITLE เพื่อการอยู่อาศัยที่สะดวกสบายในทุกมิติ
“ตอนนี้ ยอดขายของ TITLE ในภูเก็ต 90% เป็นลูกค้าชาวต่างชาติ มีคนไทย 5-10% โดยต่างชาติที่เข้ามา 3 อันดับแรก คือ รัสเซีย ยูเครน และยุโรป โดยกลุ่มลูกค้าต่างชาติ มักจะซื้ออสังหาริมทรัพย์ในระดับราคา 5-8 ล้านบาท และถ้าเป็นบ้านเดี่ยว จะสนใจราคาระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไป” เวคิน กล่าว
พัทธนันท์ พิสุทธิ์วิมล เลขาธิการและอุปนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตปี 2567 ได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการเดินทางเข้ามาของชาวต่างชาติ ส่งผลให้กำลังซื้อของคนในพื้นที่แข็งแกร่งขึ้น เช่นเดียวกับความต้องการด้านที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติที่มีแนวโน้มสูงขึ้นด้วย
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์คาดการณ์ว่า ปีนี้จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมในภูเก็ตทั้งหมด มูลค่ารวมประมาณ 33,730 ล้านบาท หรือขยายตัวขึ้นราว 7.1% เมื่อเทียบกับปี 2566
ด้านยอดขายใหม่ของคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งแรกปี 2567 มีจำนวน 4,497 หน่วย ขยายตัวขึ้น 259.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีมูลค่าทั้งหมดราว 40,190 ล้านบาท เติบโตขึ้น 799% ซึ่งทำเลที่มียอดขายใหม่โดดเด่นมากที่สุดคือ “หาดบางเทา-หาดสุรินทร์” จำนวน 2,202 หน่วย หรือคิดเป็น 48.97% ของจำนวนหน่วยยอดขายใหม่ทั้งหมด
นอกจากนี้ เลขาธิการและอุปนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต ให้ความเห็นกรณีที่รัฐบาลมีแนวคิดขยายกรรมสิทธิ์ต่างชาติถือครองห้องชุดเป็น 75% จากเดิม 49% ว่า เนื่องจากที่ผ่านมา ภูเก็ตมีปัญหาเรื่องนอมินีถือครองอสังหาริมทรัพย์ ส่วนหนึ่งเกิดจากชาวต่างชาติที่ต้องการมีบ้านหลังที่สอง หรือเป็นบ้านพักตากอากาศ ต่างก็ต้องการทำให้ถูกกฎหมาย แต่เนื่องจากกฎหมายการถือครองกรรมสิทธิ์ไม่เอื้อ จึงทำให้เกิดนอมินี แต่หากมีการปลดล็อกกฎหมาย ก็จะช่วยแก้ปัญหานอมินีได้
ขณะที่ กรมเชษฐ์ให้ความเห็นว่า อยากให้ภาครัฐพิจารณาการปลดล็อกถือครองกรรมสิทธิ์ในแบบทดลอง จำกัดระยะเวลาหรือพื้นที่ อย่างไรก็ตาม กรณีการถือครองคอนโดมิเนียมในภูเก็ต พฤติกรรมลูกค้าต้องการเช่าระยะยาว (Leasehold) มากกว่า ต่างจากคอนโดมิเนียมย่านพัทยาที่ชาวต่างชาติชอบแบบเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ระยะยาว (Freehold)
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney