คลังร่วมวงถก ธนาคารโลก สนใจโมเดล “หวยเกษียณ” โกอินเตอร์ พร้อมหารือไอเอ็มเอฟ มั่นใจเศรษฐกิจไทยโตปีนี้ 2.8% ปีหน้าแตะ 3% ด้าน รมว.พาณิชย์ “พิชัย นริพทะพันธุ์” แจง “กมธ.เกษตรฯ” พาณิชย์เตรียมมาตรการดูแลสินค้าเกษตรล่วงหน้า พร้อมยกระดับสินค้าเกษตรสู่สินค้าเพิ่มมูลค่า “Thailand Next Level” ดันไทยเป็นแหล่ง “Food Security” ของโลก
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ได้ร่วมประชุมสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประจำปี 2567 ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา โดยได้หารือเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การปรับสมดุลของการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐและมาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งไทยมีนโยบายเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีของรัฐผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และจากธุรกิจออนไลน์ ดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อป้องกันการโยกย้ายฐานภาษีของกลุ่มบริษัทข้ามชาติ รวมทั้งเสนอลดการยกเว้นการลดหย่อนภาษีที่ไม่จำเป็น
นอกจากนี้ รมช.คลังได้หารือทวิภาคีกับนางมานูเอลลา วี.เฟอร์โร รองประธานธนาคารโลก ถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยและแนวนโยบายที่ประเทศไทยให้ความสำคัญและความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและธนาคารโลก ซึ่งไทยเน้นย้ำถึงเสถียรภาพของเศรษฐกิจไทยและแนวนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
“ธนาคารโลกได้แสดงความเชื่อมั่นในพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่ง รวมทั้งเห็นว่านโยบายการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการเงิน โดยเฉพาะนโยบายสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณเพื่อส่งเสริมการออมสำหรับผู้สูงอายุ หรือหวยเกษียณ ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาผลิตภาพของภาคการเกษตรซึ่งรองประธานธนาคารโลกได้ให้ความสนใจกับนโยบายสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณโดยจะศึกษาตัวอย่างของประเทศไทยต่อไป”
นายพรชัยกล่าวว่า นอกจากนี้ยังได้หารือกับนางคริสตาลินา จอร์เจียวา กรรมการจัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศเพื่อรับฟังรายงานเกี่ยวกับพัฒนาการของเศรษฐกิจโลกและภูมิภาคอาเซียน โดยได้ประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัว 2.8% ในปี 67 และจะขยายตัว 3% ในปี 68 รวมทั้งได้หารือถึงบทบาทของไอเอ็มเอฟที่จะสนับสนุนประเทศสมาชิกอาเซียนในการรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ ในปัจจุบัน
อีกทั้งยังได้หารือทวิภาคีกับผู้ว่าการธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจบีไอซี) เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นและมุมมองการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปสู่การใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน การลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งหารือถึงความร่วมมือระหว่างกัน เจบีไอซีและธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย โดยได้แสดงความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก และเชื่อมั่นว่านโยบายของภาครัฐจะเอื้อต่อการลงทุนเพื่อการพัฒนาสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและเศรษฐกิจสีเขียวในระยะยาวต่อไป
ด้านนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวภายหลังคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร เข้าพบว่า คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเกษตรและสหกรณ์ ได้หารือเกี่ยวกับนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรของกระทรวงพาณิชย์ โดย กมธ.เกษตรฯ ได้รับข้อร้องเรียนจากเกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ จึงมารับฟังนโยบายกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ ได้ชี้แจงว่ากระทรวงมีภารกิจสำคัญในการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาสินค้า สร้างความสมดุลในทุกมิติ ในพืชเศรษฐกิจสำคัญ (พืชหลัก) ทั้งข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และพืชเศรษฐกิจอื่นๆ (พืชรอง) อาทิ ผลไม้ ทุเรียน มังคุด เงาะ ลำไย ลิ้นจี่ ลองกอง สับปะรด ส้ม ฯลฯ รวมถึงการส่งเสริมตลาด และผลักดันการส่งออกด้วย
สำหรับในปี 67 ได้ร่วมกับภาคเอกชนออก 6 มาตรการ 25 แผนงานในการบริหารจัดการสินค้าเกษตรและผลไม้ และให้คนตัวใหญ่ช่วยคนตัวเล็ก ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทำให้ราคาสินค้าเกษตรและผลไม้ขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ ส่วนปี 68 กระทรวงพาณิชย์ได้วางแนวทางมาตรการบริหารจัดการผลไม้ไว้ล่วงหน้าแล้วถึง 900,000 ตัน เช่น มาตรการส่งเสริมการผลิต-แปรรูป การส่งเสริมตลาดในประเทศ ต่างประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพทางการค้า อำนวยความสะดวกทางการค้า มาตรการทาง กฎหมาย เป็นต้น
“โครงสร้างสินค้าเกษตรเป็นเรื่องที่สำคัญที่รัฐบาลจะต้องแก้ไข เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ดีขึ้นกว่านี้ และรัฐบาลยังได้ตั้งเป้าหมายที่จะทำให้ไทยเป็น “Food Security” แหล่งความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรไทยขายสินค้าได้มากขึ้น นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังมีนโยบาย “Thailand Next Level” โดยจะพัฒนาสินค้าไทยไปสู่สินค้าแห่งอนาคต สินค้านวัตกรรม ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น และขายได้ราคาสูงขึ้น เกษตรกรก็จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น”.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม