ตลาดการส่งออกรถยนต์ของไทยกำลังเผชิญความท้าทายอย่างหนัก เพราะนอกจากการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีจาก ICE สู่ BEV แล้ว หลายประเทศผู้นำการผลิตรถยนต์เริ่มหันมาส่งออกสินค้าเอง ในขณะเดียวกัน อินโดนีเซียกลายเป็นผู้ส่งออกที่ขึ้นมาท้าทายประเทศไทย
โดยเห็นได้จากในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ พบว่า ประเทศไทยกำลังเสียแชมป์การส่งออกรถยนต์นั่งในตลาดอาเซียนให้กับจีนและญี่ปุ่น โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าไทยอาจเสียแชมป์เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า ปริมาณส่งออกรถยนต์รวมปี 2567 คาดติดลบ 6% โดยตลาดหลักอย่างอาเซียนกำลังเสียส่วนแบ่งอย่างชัดเจนในกลุ่มรถยนต์นั่งให้กับ BEV จากจีน ไฮบริดจากญี่ปุ่น และรถนั่งเล็กจากอินโดนีเซีย หลังมาตรการรัฐหนุนและผู้ซื้อต้องการรถราคาประหยัด
ในอนาคต แม้ไทยอาจได้ส่วนแบ่งคืนบ้างหลังการผลิตรถนั่ง BEV และไฮบริดเพื่อส่งออกเพิ่มขึ้น แต่ก็มีแรงกดดันจากจีนและญี่ปุ่นที่ยังต้องส่งออก BEV และไฮบริดมาแข่ง ขณะที่การส่งเสริมจากรัฐใกล้จะจบ และค่าย BEV เริ่มผลิตในอินโดนีเซียเพิ่ม
ส่งออกรถยนต์ไทยปี 67 คาดหดตัว 6% นำโดยตลาดหลักอย่างอาเซียน ปี 2567 เป็นหนึ่งปีที่ยากลำบากสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย เพราะนอกจากยอดขายรถยนต์ในประเทศจะหดตัวแรงแล้ว ยอดส่งออกรถยนต์ของไทยก็คาดว่าอาจหดตัวเช่นกันถึง 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เหลือส่งออกได้เพียง 1,050,000 คัน จาก 1,117,539 คันในปี 2566 โดยหนึ่งในสาเหตุสำคัญมาจากการส่งออกไปตลาดหลักอันดับ 2 ของไทยอย่างอาเซียนที่ลดลงมาก (ตลาดอาเซียนคิดเป็น 25% ของมูลค่าส่งออกรถยนต์ไทย)
นำโดยการหดตัวสูงของการส่งออกรถยนต์นั่งไปอาเซียน ซึ่งช่วง 7 เดือนแรกที่ผ่านมาติดลบถึง 19% (YoY) ขณะที่รถเพื่อการพาณิชย์ส่งออกลดลง 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นั่นแปลว่ารถยนต์นั่งไทยอาจกำลังเจอความเสี่ยงในตลาดนี้
แม้ตั้งแต่ปี 2560 ไทยจะครองตำแหน่งแชมป์ส่งออกรถยนต์นั่งไปอาเซียนมาโดยตลอด ทว่าหลังผ่าน 7 เดือนแรกของปี 2567 มา กลับพบจีนและญี่ปุ่นขยับส่วนแบ่งขึ้นนำไทยได้เป็นครั้งแรก ขณะที่อินโดนีเซียแม้ยังมีส่วนแบ่งน้อยกว่า แต่ก็ขยับเข้ามาใกล้ไทยมากขึ้น
โดยจีนคาดขึ้นอันดับ 1 แทนที่ไทยในตลาดอาเซียนปีนี้ หลังสามารถส่งออกรถยนต์นั่ง BEV ได้เพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ญี่ปุ่นขยับขึ้นอันดับ 2 นำโดยการส่งออกรถยนต์นั่งไฮบริด (HEV) อาศัยปัจจัยหนุนสำคัญจากมาตรการส่งเสริมรถยนต์ลดมลพิษของรัฐบาลแต่ละประเทศที่ออกมาในช่วงนี้ ส่งผลกดดันให้ไทยตกลงมาอยู่อันดับ 3 เนื่องจากไทยเพิ่งเริ่มผลิต BEV และแม้จะมีการผลิตรถยนต์นั่งไฮบริดแล้ว แต่ที่ผลิตได้ก็เน้นรองรับตลาดในประเทศที่กำลังเติบโตขึ้นก่อน ขณะที่อินโดนีเซียแม้ปัจจุบันอยู่ในอันดับ 4 แต่พบการส่งออกรถยนต์นั่งขนาดเล็กใช้น้ำมันล้วน (ICE) ที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ส่วนแบ่งขยับเข้าใกล้ไทยมากขึ้น หลังความต้องการรถยนต์นั่งขนาดเล็กหรือรถอเนกประสงค์ราคาประหยัดเพิ่มขึ้นมากในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ประชากรรายได้ยังไม่สูงนัก เช่น ฟิลิปปินส์และเวียดนาม
ในระยะข้างหน้า การส่งออกรถยนต์นั่ง BEV และไฮบริด อาจเร่งขึ้นมาช่วยชดเชยได้ หลังไทยมีแนวโน้มผลิตรถยนต์นั่ง BEV และไฮบริดในประเทศได้มากขึ้น จากการสนับสนุนของภาครัฐ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอีกหลายด้านที่การส่งออกรถยนต์นั่งไทยอาจต้องเผชิญในอนาคต ได้แก่
ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้ออาจกดดันให้จีนยังคงต้องส่งออก BEV มายังตลาดเป้าหมายเดิมของไทยอย่างอาเซียนต่อ ทำให้การส่งออก BEV จากไทยในอนาคตยังคงต้องเจอการแข่งขันต่อไปอยู่ รถยนต์นั่งส่งออกจากญี่ปุ่นกำลังถูก BEV จีนเข้าตีตลาดในหลายประเทศ ทำให้ญี่ปุ่นต้องกระจายการส่งออกไฮบริดซึ่งเป็นตัวหลักออกไปยังหลายตลาดมากขึ้นรวมถึงอาเซียน เพื่อรักษาปริมาณการผลิตรถยนต์ในประเทศ ทำให้โอกาสการลงทุนผลิตรถยนต์นั่งไฮบริดในไทยปริมาณมากเพื่อการส่งออกในอนาคตยังมีความไม่แน่นอน
มาตรการส่งเสริมรถยนต์นั่ง BEV และไฮบริดของตลาดศักยภาพอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ อาจหมดในสิ้นปีหน้า ทำให้โอกาสนำเข้า BEV และไฮบริดของตลาดอาเซียนอาจไม่เร่งตัวมากเหมือนช่วงที่ผ่านมา แม้จะยังมีเวียดนามและฟิลิปปินส์ที่คงมาตรการส่งเสริมตลาดรถยนต์นั่ง 2 กลุ่มนี้ต่อถึงปี 2570 และ 2571 ตามลำดับก็ตาม ค่ายรถ BEV ที่ลงทุนผลิตในไทยมีการลงทุนผลิตเพิ่มในอินโดนีเซียด้วยเพื่อรองรับตลาดทั้งในและต่างประเทศ ทำให้โอกาสส่งออก BEV จากไทยไปอีกตลาดศักยภาพอย่างอินโดนีเซียลดน้อยลง รวมถึงไทยอาจเจอการแข่งขันจาก BEV ส่งออกจากอินโดนีเซียในอนาคตด้วย
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่