นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ปัจจุบันกระทรวงการคลังกำลังพิจารณาการหาแหล่งเงินมาเติมให้กับกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งแต่เดิมมีวงเงินอยู่ในกองทุนนี้ประมาณ 20,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันเงินในกองทุนได้ถูกใช้ไปหมดแล้ว เพราะกองทุนนี้ถือว่ามีความสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่เราจะดึงดูดการลงทุนสู้กับประเทศอื่นๆในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ขณะที่ในปีหน้าจะเริ่มมีการใช้มาตรการบังคับใช้การเก็บภาษีขั้นต่ำ (Global minimum tax) ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งเราต้องมีเครื่องมือในส่วนนี้เอาไว้เป็นส่วนในการดึงดูดการลงทุนด้วย
“ขณะนี้ดูว่าในส่วนของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการแจกเงินกลุ่มเปราะบางผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผู้พิการ ตลอดจนผู้ลง ทะเบียนผ่านแอปทางรัฐ จะใช้งบประมาณไม่เกิน 400,000 ล้านบาท ถ้าหากทำทั้ง 2 กลุ่มแล้วมีวงเงินเหลือ ก็จะดูให้มีวงเงินที่เหมาะสมที่จะนำไปใส่ในกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ”
ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของ นายกรัฐมนตรีฝ่ายประประชาสัมพันธ์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในอัตรา 6.3% (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) หรือ 7% (รวมภาษีท้องถิ่น) ออกไปอีกเป็นระยะเวลา 1 ปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.67 ถึงวันที่ 30 ก.ย.68 จากเดิมที่จะสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.67 เพื่อลดผลกระทบจากค่าครองชีพ ช่วยกระตุ้นการบริโภคของประชาชน ซึ่งจะส่งผลให้ภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย และการลงทุนภาคเอกชนภายในประเทศขยายตัวได้ตามเป้าหมาย และสร้างความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจให้แก่ภาคเอกชน
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่