มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยปี 67 ครัวเรือนไทยมีหนี้เฉลี่ย 6.06 แสนบาท สูงสุดรอบ 16 ปี เหตุเศรษฐกิจชะลอ ค่าครองชีพสูง รายได้ไม่พอรายจ่าย แต่กังวล 6 เดือนข้างหน้าอาจจะมีสัดส่วนส่งไม่ไหวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม หนี้ต่อจีดีพีทีี่สูงถึง 90.8% ยังไม่น่ากลัว เพราะส่วนใหญ่กู้เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิต
นางอุมากมล สุนทรสุรัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทยปี 67 ที่สำรวจความเห็นจากกลุ่มตัวอย่าง 1,300 รายทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1-7 ก.ย.67 โดยพบว่า ครัวเรือนไทยมีหนี้สินเฉลี่ย 606,378 บาท เพิ่มขึ้น 8.4% เมื่อเทียบปี 66 ที่มีเฉลี่ย 559,408 บาท แบ่งเป็นหนี้ในระบบ 69.9% และนอกระบบ 30.1% ขณะที่การสำรวจภาระผ่อนชำระเดือนละพบว่า ครัวเรือนไทยมีภาระผ่อนชำระ 18,787 บาทต่อเดือน โดยเป็นการผ่อนชำระหนี้ในระบบ 17,229 บาทต่อเดือน และผ่อนส่งนอกระบบ 6,518 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ จากการสำรวจหนี้สินเฉลี่ยรวมที่ 606,378 บาทต่อครัวเรือนนั้น ถือเป็นยอดหนี้สูงสุดในรอบ 16 ปี นับตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจในปี 52 โดยขณะนั้นครัวเรือนไทยมีหนี้สินเฉลี่ยเพียง 143,476 บาท
ทั้งนี้ จากการสำรวจในครั้งนี้ ผลสำรวจพบว่า 99.7% ของครัวเรือนไทยมีหนี้สิน และมีเพียง 0.3% เท่านั้นที่ไม่มีหนี้ โดยเป็นหนี้บัตรเครดิตมากที่สุด ตามด้วยหนี้เช่าซื้อยานพาหนะ สินเชื่อส่วนบุคคล เพื่อการอุปโภคบริโภค สินเชื่อที่อยู่อาศัย การประกอบธุรกิจ และการศึกษา โดยเมื่อเทียบกับปีก่อน ผู้ตอบส่วนใหญ่ระบุว่า มีหนี้สินเพิ่มขึ้นมาก และในอีก 1 ปีข้างหน้า หนี้จะเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะหนี้ในระบบ
ส่วนสาเหตุก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้น คำตอบพบว่า มาจากเศรษฐกิจชะลอตัว รายได้ไม่พอรายจ่าย ใช้เงินฉุกเฉิน ค่าครองชีพสูงขึ้น ทำธุรกิจล้มเหลว ลงทุนธุรกิจเพิ่ม ซื้อสินทรัพย์ถาวร ค่าเล่าเรียนบุตรหลาน ตกงาน ผ่อนสินค้ามากเกินไป ติดการพนัน ฯลฯ ขณะที่การสำรวจความสามารถชำระหนี้ในรอบปีที่ผ่านมา พบว่า 28.4% ไม่มีปัญหา แต่อีก 71.6% มีปัญหาในการชำระหนี้ โดยผู้ที่ตอบว่ามีปัญหาส่วนใหญ่มีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท เพราะเศรษฐกิจไม่ดี รายได้และสภาพคล่องของธุรกิจ/ครัวเรือนลดลง ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ค่าครองชีพไม่สอดคล้องกับรายได้ เป็นหนี้แบบต้นทบดอก ตกงาน ภัยธรรมชาติ ฯลฯ
นอกจากนั้นยังคาดว่าในอีก 6 เดือนถึง 1 ปีข้างหน้า คำตอบมีมากถึง 34.2% ที่จะมีโอกาสมีปัญหาผ่อนชำระมาก ขณะที่ 29.1% มีปัญหาปานกลาง ส่วน 29.9% มีปัญหาน้อย และ 6.8% ไม่มีเลย ส่วนข้อเสนอแนะแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน คือ ให้ความรู้เรื่องการวางแผนใช้จ่าย หาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ให้ความรู้ในการบริหารหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ เพิ่มสวัสดิการให้ผู้มีรายได้น้อย ลดค่าครองชีพกลุ่มเปราะบาง ฝึกอบรมวิชาชีพ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยมีสัดส่วน 90.8% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่หลังน้ำท่วมใหญ่ปี 54 โดยพบว่าตั้งแต่ปี 56 หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ในระดับเกิน 80% และสูงเกิน 90% มาตั้งแต่ปี 63 ที่เกิดสงครามการค้า (เทรดวอร์) การระบาดของโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ตั้งแต่ปี 63 เป็นต้นมา ไทยไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนให้ต่ำกว่า 80% ได้เลย
อย่างไรก็ตาม มองว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยที่สูงเกิน 90% ไม่ได้น่ากลัว และไม่ได้เป็นจำเลยของสังคมที่รุนแรง เพราะมีสัดส่วนหนี้ในระบบสูงกว่านอกระบบ จึงทำให้สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีสูงขึ้น และการแปลงจากนอกระบบที่ดอกเบี้ยสูงมาสู่ในระบบที่ดอกเบี้ยต่ำ จะช่วยลดภาระผ่อนชำระของประชาชน อีกทั้งผลสำรวจพบว่าประชาชนไม่ได้กู้เพื่อใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่ที่ก่อหนี้เพราะการใช้จ่ายไม่เป็นไปตามแผน เกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น ภัยแล้ง สงคราม เศรษฐกิจชะลอตัว และนอกเหนือจากเพื่อการอุปโภคบริโภคแล้ว ยังกู้มาสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ อย่างลงทุนธุรกิจ ลงทุนด้านการเกษตร ซื้อสินทรัพย์ถาวรที่สร้างความมั่นคงในชีวิต ทำให้แม้เป็นหนี้แต่ชีวิตดีขึ้น
“การมีหนี้ครัวเรือนสูงไม่ได้บั่นทอนเศรษฐกิจ และไม่ได้แปลว่าประเทศจะเคลื่อนไม่ได้ เพราะสภาพัฒน์ระบุว่า หนี้สาธารณะที่มากกว่า 80% ของจีดีพี ไม่ได้มีข้อระบุว่าเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจ หากการเป็นหนี้นั้นสร้างประโยชน์ต่อประชาชน เพียงแต่มีผลทางจิตวิทยา เนื่องจากหนี้ครัวเรือนสูง จะทำให้ประชาชนบริโภคได้เต็มที่”.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่