ถือเป็นการขยับเชิงรุก เข้ารับฟังข้อเสนอแนะแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ ของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ “แพทองธาร ชินวัตร” อย่างน่าจับตามอง หลังเอกชนสะท้อนอย่างต่อเนื่องว่า เศรษฐกิจไทย ห้วงเวลานี้น่าเป็นห่วง และ GDP เติบโตต่ำ จากหลายสาเหตุด้วยกัน
จึงจำเป็นต้องอาศัยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อให้เอกชน เดินหน้าเป็นฟันเฟื่องปลุกเศรษฐกิจต่อได้ โดยวันนี้ “เกรียงไกร เธียรนุกุล” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. หลังเข้าพบนายกฯ ณ ตึกชินวัตร 3 เปิดเผยว่า สำหรับ 5 ข้อเสนอเร่งด่วนที่ฝากให้เป็นการบ้านรัฐบาล และทีมเศรษฐกิจ เพื่อใช้เป็นแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปด้วยกัน ประกอบไปด้วย
1.ต้องมีการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ จากสินค้านำเข้าที่ไม่มีคุณภาพ และการทุ่มตลาด
- เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจจับสินค้าไม่มีคุณภาพ หรือไม่มีมาตรฐาน ที่มีการนำเข้าผ่านด่านศุลกากร มีการทดสอบมาตรฐานก่อนนำเข้า เพิ่มจำนวนเครื่องเอกซเรย์ตู้คอนเทนเนอร์ ป้องกันการสำแดงเท็จ รวมทั้งตรวจจับสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานในท้องตลาด
- บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคและการแข่งขันทางการค้าอย่างเคร่งครัด รวมถึงการดำเนินการกับผู้กระทำผิดที่นำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐานเข้าสู่ตลาด
- ออกมาตรการกำกับดูแลผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากต่างประเทศ เพื่อป้องกันการทะลักเข้ามาของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานจากต่างประเทศ
- เชื่อมโยงระบบการบริการข้อมูลหน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจ หรือ National Single Window (NSW) เพื่อตรวจสอบและอำนวยความสะดวกในการนำเข้าสินค้าที่ต้องมีใบอนุญาต
2.ต้องมีการส่งเสริมสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย และสินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand (MiT)
- เพิ่มแต้มต่อการจัดซื้อจัดจ้างสินค้า MiT ผ่านวิธี e-bidding จากเดิม 5% เป็น 10% เป็นเวลา 2 ปี เพื่อสร้างกระแสเงินหมุนเวียนให้กับผู้ประกอบการไทย
- กำหนดให้มีการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) แทนการอ้างอิงมาตรฐานต่างประเทศ เพื่อให้หน่วยงานมีความมั่นใจในสินค้า
- ออกมาตรการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับภาคเอกชนที่จัดซื้อสินค้าที่ได้รับการรับรอง MiT ให้สามารถนำยอดซื้อมาหักเป็นค่าใช้จ่ายลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า
- ออกมาตรการช่วยอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการส่งออกที่ได้รับการรับรอง MiT ไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น ค่าระวางเรือ ค่าขนส่งในประเทศ เป็นต้น
3.ควรมีการลดต้นทุนด้านการผลิต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม ผ่านการดำเนินงานด้านต้นทุนพลังงาน ได้แก่
- คงอัตราค่าไฟฟ้าโดยไม่ปรับเพิ่มขึ้น หรือปรับลดค่า Ft เพื่อรักษาต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมในสภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
- บริหารจัดการความจุสำรอง (Reserve Capacity) ให้อยู่ในระดับไม่สูงเกินไป โดยพิจารณาการเจรจาเลื่อนโรงไฟฟ้าที่จะเกิดใหม่ให้สอดคล้องระหว่างกำลังความต้องการใช้ไฟฟ้าและกำลังการผลิต
- พิจารณาผลดี-ผลเสียของการเกลี่ยค่าใช้จ่ายไปในอนาคต โดยขยายสัญญาการผลิตของโรงไฟฟ้า เพื่อลดภาระต้นทุนค่าไฟฟ้า
- ลดเงินประกันการใช้ไฟฟ้า เพื่อเสริมสภาพคล่องในภาคอุตสาหกรรม
- เร่งพิจารณากระบวนการจัดสรรเงินกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs
เสนอปรับขึ้นค่าแรง ตามทักษะฝีมือ
นอกจากนี้ ส.อ.ท. ยังเสนอว่า ควรมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติกำหนดไว้ในมาตรา 87 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 โดยมีคณะอนุกรรมการค่าจ้างไตรภาคีจังหวัดพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายจังหวัด เสนอต่อคณะกรรมการค่าจ้าง พิจารณาให้สอดคล้องกับปัจจัยทางเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่ อัตราเงินเฟ้อ อัตราการเจริญเติบโตของ GDP ความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง และประสิทธิภาพของแรงงาน
- ส่งเสริมการปรับอัตราค่าจ้างตามทักษะฝีมือแรงงาน (Pay By Skills) เพื่อส่งเสริมการเพิ่มผลิตภาพแรงงานควบคู่ไปกับการเพิ่มรายได้ให้แก่แรงงาน
- ผลักดันให้ผลิตภาพแรงงานเป็นวาระแห่งชาติ ให้กระทรวงแรงงานเป็นกระทรวงหลักในการดำเนินการ
- พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานทั้ง Upskill/ Reskill/ Multi-Skill/ Future Skill ให้ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการและตลาดแรงงาน สอดรับเศรษฐกิจยุคดิจิทัล
4.ควรมีการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ SME ผ่านแนวทางต่างๆ ดังนี้
ออกมาตรการทางการเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับ SME ไทย การผ่อนปรนคุณสมบัติของผู้กู้ ณ เงื่อนไขที่ SME กู้เงินไม่ได้ เช่น การดูประวัติ NPL ไม่มีหลักทรัพย์ เป็นสาขาธุรกิจที่มีความเสี่ยงหรืออื่นๆ ซึ่งธนาคารกำหนดไว้ และเป็นประเด็นที่เป็นปัญหาในการเข้าถึงสินเชื่อของ SME มาโดยตลอด
- จัดสรรวงเงินเฉพาะเพื่อช่วยเหลือ SME ที่อยู่ระหว่างปรับโครงสร้างหนี้เพื่อประคองธุรกิจ พร้อมให้คำปรึกษาในการปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจควบคู่ไปด้วย
- ผ่อนปรนเงื่อนไขการพิจารณาปล่อยสินเชื่อกับ SME สาหรับลูกค้าที่ติดเครดิตบูโรเกิน 1 ปี โดยไม่นำเอาประวัติการติดเครดิตบูโรในอดีตมาใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ หาก ณ วันที่ยื่นขอสินเชื่อผู้ประกอบการไม่เป็น NPLs แล้ว
- ออกมาตรการสินเชื่อพิเศษ เพื่อช่วยเหลือและส่งเสริม SME โดยอัตราดอกเบี้ย 2-3% คงที่เป็นเวลา 3 ปี โดยขยายครอบคลุมทั้งการลงทุนและเงินหมุนเวียนในกิจการ
- ขอให้สถาบันการเงินเปิดให้มีการปรับเพิ่มระยะเวลาการผ่อนเป็นทางเลือก รวมทั้งปรับลดค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาสินเชื่อ เพื่อช่วยเหลือเรื่องสภาพคล่อง
- ขอให้สถาบันการเงินและบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) คิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันอย่างเป็นธรรม
5.ควรมีการส่งเสริมการค้าชายแดน และพัฒนาระบบโลจิสติกส์
- เจรจาหารือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อพิจารณายกระดับจุดผ่อนปรนพิเศษทางการค้าและจุดผ่อนปรนทางการค้า ให้เป็นจุดผ่านแดนถาวร
- นำเสนอให้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมไทย-ลาว เพื่อสร้างความร่วมมือด้านการขนส่งสินค้าผ่านด่านท่าบก ท่านาแล้ง สปป.ลาว เพื่อแก้ไขข้อจำกัดและอุปสรรคการขนส่งสินค้าจากไทยผ่านไปยังท่าบกของ สปป.ลาว
- แก้ไขข้อจำกัด อุปสรรคนโยบายรัฐและพัฒนาโครงข่ายระบบรางภายในประเทศ
- จัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์แนวทางการพัฒนาส่งเสริมโครงข่ายเชื่อมโยงระบบรางของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาค
- ส่งเสริมและเพิ่มประสิทธิภาพการนำเข้า-ส่งออกสินค้าทางอากาศ
ทั้งนี้ มติที่ประชุมเห็นด้วยกับข้อเสนอ ส.อ.ท. โดยหลังจากจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ จะมอบหมายเจ้าภาพในการขับเคลื่อนข้อเสนอร่วมกัน รวมทั้งจะรื้อฟื้นการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเป็นรายอุตสาหกรรม เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้เติบโตและเห็นผลเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น.
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่