นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้ปรับประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปี 67 จะขยายตัวที่ 2.7% ปรับเพิ่มจากประมาณการครั้งก่อนเมื่อเดือน เม.ย.67 ไว้ที่ 2.4% เป็นผลจากภาคการท่องเที่ยว ทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 36 ล้านคน เพิ่มขึ้น 27.9% และเพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนที่ 35.7 ล้านคน
ขณะที่ค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 47,000 บาทต่อคนต่อทริป สูงกว่าการประมาณการครั้งก่อนไว้ที่ 44,600 บาทต่อคนต่อทริป สืบเนื่องจากมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (วีซ่าฟรี) เพิ่มขึ้นเป็น 93 ประเทศ
ขณะที่การส่งออกมีสัญญาณขยายตัวดีกว่าที่คาด โดยคาดขยายตัว 2.7% เพิ่มขึ้นจากการประมาณการครั้งก่อนที่ 2.3% อุปสงค์ของประเทศคู่ค้าสำคัญขยายตัวได้ดีขึ้น โดยเฉพาะ สหรัฐอเมริกา จีน และยูโรโซน โดยมีการปรับตัวขึ้นของจีดีพีประเทศคู่ค้า 15 ประเทศหลัก 3.2% เพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อน 3.1% จึงเชื่อมั่นว่าการส่งออกมีทิศทางดีขึ้น
นายเผ่าภูมิกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีสัญญาณที่ดีจากการบริโภคในประเทศ โดยการบริโภคภาคเอกชนคาดขยายตัว 4.5% เพิ่มขึ้นจากการประมาณการครั้งก่อนที่ 3.5%
ส่วนหนึ่งจากรายได้เกษตรกรขยายตัว 8% และภาษีมูลค่าเพิ่มที่แท้จริง (Real VAT) ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้การใช้จ่ายและการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 3.6% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการทางการคลังและมาตรการด้านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของรัฐบาลที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการเติมเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) 100,000 ล้านบาท เชื่อว่าจะมีผลต่อการขยายตัวเศรษฐกิจปีนี้อย่างแน่นอน
ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป คาดว่าจะอยู่ที่ 0.6% ต่อปี ดุลบริการเกินดุลตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ดุลบัญชีเดินสะพัด เกินดุล 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 2.4% ของจีดีพี
“การประมาณการจีดีพีครั้งนี้ ไม่ได้นับรวมผลที่คาดว่าจะได้รับในระบบเศรษฐกิจที่เกิดจากโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต แต่รัฐบาลพยายามผลักดันให้จีดีพีปีนี้ไปให้ถึงเป้าหมาย 3% ให้ได้ ส่วนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่ต้องใช้เงิน 450,000 ล้านนั้นจะมีผลช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัว 1.2-1.8% ตลอดทั้งโครงการ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของเงิน เงื่อนไขโครงการ และจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ และพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้รับสิทธิ์ด้วย”
นายเผ่าภูมิกล่าวต่อว่า ขณะนี้กระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกำลังมาแรง และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทั้งเศรษฐกิจสีเขียวและเศรษฐกิจสีน้ำเงิน ซึ่งสอดคล้องกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ที่ได้ออกพันธบัตรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทรัพยากรทางทะเล (Blue Bond) สกุลเงินบาท อายุ 3 ปี วงเงินเสนอขายรวม 3,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2.78% ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ จนมียอดจองซื้อสูงถึง 2.5 เท่าของวงเงินที่เสนอ ซึ่งการระดมทุนในครั้งนี้ จะทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากมาตรการต่างๆของรัฐ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างแน่นอน.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่