ไทยจะผลิตเซมิคอนดักเตอร์???

ผมเขียนบทความเรื่อง “ทำไมกูเกิลจึงเลือกมาเลเซีย” ในคอลัมน์นี้ วันที่ 5 มิถุนายน 2567 ท่านผู้อ่านได้กรุณานำไปแชร์ต่อในสื่อโซเชียลอย่างแพร่หลาย เปิดไปกลุ่มไหนก็มีการแชร์บทความนี้ ผมขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างยิ่ง หลังการประชุม ครม.เศรษฐกิจเมื่อวันจันทร์ซึ่งมี นายกฯเศรษฐา ทวีสิน เป็นประธาน คุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรัฐมนตรีคลัง ได้แถลงข่าวผลการประชุมว่า ครม. ได้มีการหารือมาตรการระยะยาวว่า เศรษฐกิจไทยต้องขยายตัวประมาณ 5% ต่อปี จึงจะทำให้ประเทศไปรอด ได้หารือแนวทางการจัดตั้ง “คณะกรรมการเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ” ขึ้นเป็นครั้งแรก แม้การตั้งคณะกรรมการระดับชาติจะช้ากว่าหลายประเทศในภูมิภาค แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการเพื่อสนับสนุนการลงทุนในอนาคต

คุณพิชัย บอกว่า ผู้ประกอบการต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุนในไทย ได้สอบถามความพร้อมของแรงงานไทย ซึ่งไทยจำเป็นต้องเร่งอัปสกิลแรงงาน ที่ประชุมมีข้อเสนอให้หารือกับโรงงานและมหาวิทยาลัยในไต้หวัน เพื่อส่งนักศึกษาไปอัปสกิลด้านอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้แรงงานมีความพร้อมอย่างรวดเร็ว

ผมฟังแล้วก็ถอนหายใจลึกๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ รัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ได้หารือถึงการจัดตั้ง “คณะกรรมการเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ” เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคตของโลก ในขณะที่ไทยยังภูมิใจที่เป็นผู้ผลิต “ฮาร์ดดิสก์” รายใหญ่ที่สุดในโลก แต่โลกเขาหันไปใช้ชิปที่มีขนาดเล็กกันหมดแล้ว เครื่องปิ้งขนมปัง ตู้เย็น ไมโครเวฟ สมาร์ททีวี สมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า หุ่นยนต์ในโรงงาน หุ่นยนต์ในบ้าน หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ ทุกอย่างต้องใช้ชิปฉลาดขนาดเล็กจิ๋วกันทั้งนั้น

การที่ ครม.นายกฯเศรษฐา เพิ่งมาคิดเรื่องอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เป็นครั้งแรก แม้จะช้าไปมาก แต่ก็เดินมาถูกทางแล้ว แต่จะเกิดได้จริงหรือไม่ ก็อยู่ที่ประสิทธิภาพของรัฐบาล เริ่มตั้งแต่การตั้ง “คณะกรรมการเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ” มาเลเซียเขาเรียกว่า “คณะกรรมการยุทธศาสตร์เซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ” คณะกรรมการชุดนี้ต้องมี นายกรัฐมนตรี เป็นประธานแน่นอน ส่วนกรรมการถ้ายังตั้งแบบเดิมๆ มีแต่รัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้อง มีเด็กเส้นเด็กฝากเข้าไปเป็นกรรมการ อนาคตก็เอวังตั้งแต่การแต่งตั้งกรรมการ เหมือนกรรมการชุดอื่นที่มีอยู่หลายร้อยชุด และสำคัญที่สุดก็คือ รัฐบาลต้องมีเงินลงทุนที่มากพอ แต่รัฐบาลชุดนี้ไม่มีเงิน

มูลค่าธุรกิจในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ปี 2567 World Semiconductor Trade Statistics (WSTS) ประเมินว่า จะเติบโต 16% ไปอยู่ที่ 611,231 แสนล้านดอลลาร์ ประมาณ 22.6 ล้านล้านบาท และ การลงทุนทั่วโลกจะเพิ่มเป็นกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี 44 ล้านล้านบาทต่อปี ภายในปี 2032 เซมิคอนดักเตอร์และชิปจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกของอินเตอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง (IOT) ในอนาคต สามารถควบคุมโลกแบบข้ามประเทศได้ จึงไม่แปลกที่ สหรัฐฯ จะประกาศสงครามชิปกับ จีน ถึงขั้นออกกฎหมาย Chip and Science Act เพื่อปิดกั้นจีนไม่ให้เข้าถึงเทคโนโลยีชิปขั้นสูงและเครื่องจักรผลิตชิปขั้นสูง

เดือนเมษายนปีนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ให้เงินอุดหนุน TSMC บริษัทผลิตชิปยักษ์ใหญ่ไต้หวัน 6,600 ล้านดอลลาร์ สนับสนุนการตั้งโรงงานเซมิคอนดักเตอร์ระดับก้าวหน้าสูงสุด ที่เมืองฟินิกซ์ รัฐอริโซนา และให้เงินอุดหนุน ซัมซุง 6,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อตั้งโรงงานผลิตชิปในเมืองเทย์เลอร์ รัฐเท็กซัส ในขณะที่ รัฐบาลจีน ก็ตั้ง กองทุน 344,000 ล้านหยวน ราว 47,500 ล้านดอลลาร์ 1.75 ล้านล้านบาท สนับสนุนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีนสู้กับสหรัฐฯ

ผมไม่ได้ดูถูกนะครับ อุตสาหกรรมนี้คนรวยคนเก่งเขาเล่นกัน เมื่อดูประสิทธิภาพรัฐบาลชุดนี้จากผลงาน 9 เดือนแล้ว ไม่รู้ว่าเริ่มคิดวันนี้อีกกี่ปี 5 ปี 10 ปี 15 ปี จะสำเร็จหรือไม่ ถนนมอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-โคราช 190 กว่า กม. สร้างมา 10 ปีแล้ว วันนี้ยังไม่เสร็จ ยากง่ายเทียบกับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไม่ได้เลย.

“ลม เปลี่ยนทิศ”

คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม