ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงไทย Krungthai COMPASS ได้ประเมินความคืบหน้าของกฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR) ของสหภาพยุโรป (อียู) ที่จะมีผลในทางปฏิบัติวันที่ 30 ธ.ค.นี้ โดยมีผลบังคับใช้ในสินค้า 7 ชนิด ได้แก่ วัว กาแฟ โกโก้ ถั่วเหลือง ปาล์มน้ำมัน ยางพารา และไม้ รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสินค้าเหล่านี้ โดยพบว่า หากมีการใช้กฎหมายดังกล่าว ผู้ประกอบการยางพารามีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการ EUDR มากที่สุด เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการในสินค้าอีก 6 ชนิด
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการยางไทย อาจได้รับผลกระทบจากการส่งผ่านต้นทุนของผู้นำเข้าฝั่ง อียูสูงสุดถึง 4.3% ของมูลค่าส่งออกสินค้าภายใต้มาตรการ คิดเป็น 64 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี หรือ 2,340 ล้านบาทต่อปี และอาจส่งผลต่อปริมาณการส่งออกยางของไทยไปอียู และภาพรวม หากไทยถูกระบุว่าเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงในการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ จึงขอแนะนำผู้ประกอบการยางพาราควรเริ่มปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรการ EUDR เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เช่น มีเอกสารสิทธิถูกต้องตามกฎหมายที่ดิน รับซื้อยางพาราที่ตรวจสอบย้อนกลับได้.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่