ปีที่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นปีทองของข้าวไทย เนื่องจากไทยรับส้มหล่นจากมาตรการงดส่งออกข้าวของอินเดีย โดยในปี 2566 เป็นปีที่การส่งออกข้าวไทยมีมูลค่าสูงสุดในรอบ 5 ปี อยู่ที่ 5,144 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเติบโตที่ 29% YoY ซึ่งเป็นการเติบโตทั้งด้านราคาที่ 13.8 YoY ตามราคาข้าวโลกที่ปรับสูงขึ้น จากผลของอินเดียงดส่งออกข้าว และด้านปริมาณที่เติบโต 14 YoY (จาก 7.7 ล้านตันเป็น 8.8 ล้าน ตัน) จากแรงหนุนผู้ซื้อหลักอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ที่นำเข้าข้าวจำนวนมากเพื่อสต๊อกเป็นความมั่นคงด้านอาหาร (ไทยส่งออกไป 3 ประเทศ น้ีเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 590% YoY และมีสัดส่วนปริมาณส่งออกรวม 26%)
ศูนย์วิจัย กสิกรไทย มองว่าในปี 2567 การส่งออกข้าวไทยจะลดลง จากคำสั่งซื้อใหม่ของผู้ซื้อหลักที่อาจลดลงจากที่ได้เร่งนำเข้าไปแล้วในปีก่อน แม้บางส่วนจะถูกชดเชยด้วยการขาย ข้าวแบบรัฐต่อรัฐกับอินโดนีเซียและจีน ขณะที่ไทยคงเผชิญเอลนีโญในช่วงไตรมาสแรกของปี ที่จะทำให้เกิดภัยแล้ง สะท้อนจากข้อมูลของ NOAA1 ที่คาดว่า เอลนีโญที่กำลังดำเนินอยู่จากดัชนี Ocean Nino Index (ONI) ที่สูงกว่า 0.5 องศาเซลเซียส อาจต่อเนื่องถึงในเดือน มี.ค. 2567 อีกทั้งปริมาตรน้ำใช้การได้ในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ท้ังประเทศ ณ 7 ก.พ. 2567 ลดลง 8% YoY กดดันผลผลิตข้าวนาปรัง อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ท่ีเอลนีโญจะอ่อนกำลังลง และเข้าสู่ภาวะเป็นกลางมากข้ึนต้ังแต่เดือน เม.ย.2567 จึงอาจกระทบผลผลิตข้าวนาปีไม่มาก ส่งผลต่อภาพรวมผลผลิตข้าวไทยในปีนี้ให้ยังอยู่ในระดับสูงที่ราว 31 ล้านตันข้าวเปลือก ซึ่งมีเพียงพอเพื่อการส่งออก
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงสำคัญอย่างนโยบายส่งออกข้าวอินเดียในปี 2567 จะกระทบการส่งออกข้าวไทยอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากอินเดียเป็นผู้ส่งออกข้าวหลักอันดับ 1 ของโลกที่ครองสัดส่วนปริมาณส่งออกราว 40% โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า มีความเป็นไปได้ที่อินเดียจะยกเลิกการห้ามส่งออกข้าวขาวในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 หลังผ่านพ้นการเลือกตั้งในเดือน เม.ย.-พ.ค.น้ี
เนื่องจากเหตุผลทางการเมืองในช่วงก่อนเลือกตั้ง ที่พรรครัฐบาลอินเดียของโมดีต้องการรักษาความนิยม และเพื่อควบคุมเงินเฟ้อภายในประเทศ จึงใช้มาตรการห้ามส่งออกข้าวขาว ซึ่งคาดว่าจะมีความจำเป็นน้อยลงหากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ประกอบกับ USDA2 คาดว่า ผลผลิตข้าวของอินเดียในปี 2567 อาจลดลงไม่มากท่ี 2.8% YoY
ดังนั้น จากการท่ีอินเดียจะกลับมาส่งออกข้าว ทำให้ไทยต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคากับอินเดีย จนกดดันการส่งออกข้าวขาวไทยในปี 2567 ให้ลดลง 17% YoY (จาก 4.8 ล้านตันเป็น 4 ล้านตัน) ซึ่งเป็นประเภทข้าวที่ไทยส่งออกมากที่สุด คิดเป็น 51% ของปริมาณการส่งออกข้าวทั้งหมดของไทย ทั้งนี้ ไทยมีราคาส่งออกข้าวขาวสูงกว่าอินเดีย จึงกระทบส่วนแบ่งตลาดส่งออกข้าวขาวไทยในตลาดโลกให้ลดลง
แม้ว่าการส่งออกข้าวขาวจะมีปริมาณลดลง แต่ไทยยังมีโอกาสในการส่งออกข้าวหอมมะลิ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ไทยอาจมีปริมาณส่งออกข้าวหอมมะลิ เพิ่มขึ้น 5% YoY (จาก 1.32 ล้านตัน เป็น 1.39 ล้านตัน) โดยข้าวหอมมะลิ แม้จะมีสัดส่วนปริมาณส่งออกไม่มากที่ 18% แต่เป็นข้าวเกรดพรีเมียมที่มีราคาขายสูง มีคุณภาพและมีโอกาส โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่เป็นตลาด ส่งออกข้าวหอมมะลิอันดับ 1 ของไทย ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นจากเฉลี่ย 2.1% ต่อปี ในปี 2557-2561 เป็นเฉลี่ย 5.2% ต่อปี ในปี 2562-2566
โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 2567 ภาพรวมมูลค่าส่งออกข้าวไทย อาจลดลง 13% YoY จาก 5,144 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 4,495 ล้าน ดอลลารส์หรัฐ เนื่องจากปริมาณการส่งออกข้าวลดลง 10% YoY จาก 8.8 ล้านตัน เป็น 7.9 ล้านตัน และราคาส่งออกข้าวเฉลี่ยลดลง 3% YoY จาก 587 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เป็น 569 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน โดยมีสาเหตุหลักมาจากแรงฉุดของมูลค่าการส่งออกข้าวขาวที่ลดลงทั้งในด้านปริมาณและราคา เนื่องจากอินเดียอาจกลับมาส่งออกข้าวขาวหลังการเลือกตั้ง