“พี่หมี” อลิสซอน เบคเกอร์ ผู้รักษาประตู แห่ง ทีมลิเวอร์พูล คงต้องแปลกใจ เมื่อบริบทการเล่นบอลด้วยเท้ายุคใหม่ ที่ชอบเซตเกมด้วยเท้าและเปิดบอลให้บังโม โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำประตูเป็นกอบเป็นกำ จนทีมอื่นๆ ต้องปรับตัว นำนักฟุตบอลที่เล่นด้วยเท้า เข้ามาเสริมทัพ
ถูกมาเปรียบเทียบกับบทบาทผู้รักษาประตูเศรษฐกิจของประเทศไทย อย่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ถูกมองว่า จะต้องรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และต้องคงอัตราดอกเบี้ยที่สูงไว้ จนต้องมีการหารือ กันระหว่าง เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าธปท. จนนำมาสู่ วิวาทะ ทางเศรษฐกิจ ว่าแบงก์ชาติ จะเป็นผู้รักษาประตูยุคใหม่ ช่วยให้รัฐบาล เปิดเกมรุกทางเศรษฐกิจ หรือ ต้องทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสิน เพื่อให้เกมเดินหน้า กันแน่!
โดยวานนี้ สรกล อดุลยานนท์ หรือ “หนุ่มเมืองจันท์” คอลัมนิสต์ ชื่อดัง ได้โพสต์ ข้อความผ่าน Facebook ว่า "คุยแบบคนชอบดูฟุตบอลนะครับ เมื่อวานฟังผู้บริหารแบงก์ชาติเปรียบตัวเองเป็น “ผู้รักษาประตู” มีหน้าที่รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ไม่ได้เป็น “กองหน้า” กระตุ้นเศรษฐกิจฟังแล้วรู้เลยว่าท่านไม่เข้าใจเกมฟุตบอลสมัยใหม่
เพราะฟุตบอลยุคนี้ “ผู้รักษาประตู” จะไม่ได้มีหน้าที่ป้องกันประตูเก่งเพียงอย่างเดียว เขาจะขึ้นสูงตอนทีมกำลังบุก ทำตัวเป็นกองหลังคนสุดท้ายผู้รักษาประตูไม่ต้องขึ้นไปเป็นกองหน้าเพื่อยิงประตูเอง แต่ฟุตบอลยุคใหม่ไม่ว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ลิเวอร์พูล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สเปอร์ส ฯลฯ
จุดเริ่มต้นของ “เกมรุก” จะมาจาก “ผู้รักษาประตู” ค่อยๆ ต่อบอลขึ้นไปจากแดนหลังผู้รักษาประตูยุคนี้จึงต้องเล่นบอลด้วยเท้าได้ดีไม่มองแต่ลูกบอลบนฟ้า ต้องก้มหน้ามองดิน มองลูกฟุตบอล ทำความเข้าใจกับผืนหญ้า
และเข้าใจพื้นดิน #อลิสซอนเบ็กเกอร์ #เอแดร์สัน ไม่ใช่ “โอนานา” 555"
ต่อมา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แสดงความคิดเห็นว่า “น่าสนใจครับ ดูสถิติจากพรีเมียร์ลีก ผู้รักษาประตูอย่าง อลิสซอน ก็แอสซิสต์ให้ ซาลาห์ ทำประตูไปแล้ว 3 ครั้ง ส่วน เอเดอร์สัน เคย assit ให้ทั้งฮาแลนด์ กุนโดกัน และ อากูเอโร่ คนละประตูครับ ผู้รักษาประตูกับกองหน้าช่วยกันได้นะครับ”
ต่อมาเช้าวันนี้ ณัฐ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยผู้จัดการหัวหน้ากลุ่มงานธุรกิจระบบงานเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้โพสต์ผ่าน Facebook ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่เคยสับสนหน้าที่ผมโชคดีที่ได้มีโอกาสศึกษาการทำงานของหน่วยงานทางเศรษฐกิจมาบ้าง ผมมีความเป็นห่วงสังคมในเวลานี้มากที่เวลาเศรษฐกิจไม่ดี พร้อมที่จะชี้นิ้วหาคนผิด และเมื่อได้ด่า ได้กล่าวหา และก็จะพอใจ โดยไม่ต้องสนใจข้อเท็จจริงใดๆ ดูไปไม่ต่างกับการจับแพะมาเป็นคนร้าย เพียงเพื่อให้ปิดคดีได้
บทบาทหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยได้ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนใน พ.ร.บ. ธนาคารแห่งประเทศไทย ในมาตรา 7 ว่ามีหน้าที่รักษาเสถียรภาพทางการเงิน และเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน
เดิมทีเป้าหมายหลักของการสร้างเสถียรภาพคือการทำอัตราแลกเปลี่ยนให้คงที่ ผ่านระบบตะกร้าเงินหลายสกุล เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ จนกระทั่งเราประสบวิกฤตการณ์ค่าเงินบาทในปี 2540 และได้มีการเปลี่ยนนโยบายหลักไปเป็น “เป้าหมายปริมาณเงิน” ตามเงื่อนไขของ IMF ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น “เป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น” ในปีพ.ศ. 2543 หลังพบว่าปริมาณเงินไม่ได้มีความสอดคล้องกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ และหันมาบริหารเป้าหมายเงินเฟ้อแทน (ส่วนเรื่องตรงนี้ว่า เป้าหมายนี้เหมาะสมหรือไม่ เดี๋ยวขอยกยอดไว้ตอนหน้าครับ)
คำว่า “เสถียรภาพ” เป็นคำที่น่าสนใจ มันมีความนัยของความเป็นระยะยาวอยู่ ส่งผลทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องมองยาว มองไม่เหมือนชาวบ้าน ไม่เหมือนรัฐบาล ที่มีแนวโน้มที่จะมองสั้น หา Quick Win โดยให้ความสนใจกับการเติบโต และเสถียรภาพของเศรษฐกิจในระยะยาวน้อยกว่า
หากรัฐบาลใช้มาตรการทางการคลังแบบผิดทาง ธนาคารแห่งประเทศไทยก็พร้อมที่จะใช้มาตรการที่มีอยู่เพื่อถ่วงดุล
การเปรียบเทียบว่าเป็นผู้รักษาประตู และบอกว่าถึงเวลาต้องขึ้นมาเป็นกองหน้าทำประตูในเวลานี้ จึงเป็นการเปรียบเทียบผิดฝาผิดตัว หน้าที่จริงเป็นเหมือนผู้ตัดสินที่ทำให้เศรษฐกิจดำเนินไปได้ราบรื่นในระยะยาวมากกว่า ไม่ได้เป็นผู้ที่ลงไปทำให้เกมมันแต่อย่างใด ไม่ว่าคนจะแห่เชียร์ให้ผู้ตัดสินไปทำประตูมากเพียงใด ผู้ตัดสินก็ไม่ควรเผลอไปพยายามเตะบอลเข้าประตูเอง และเมื่อถูกด่าว่าทำให้เกมไม่มัน ก็ไม่ควรปล่อยให้ผู้เล่นเล่นผิดกติกาได้ และอย่างน้อยที่สุด ในขณะที่คนดูอาจจะสับสนหน้าที่ แต่พี่ๆ ทุกคนที่ผมรู้จักที่ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ไม่เคยสับสนในหน้าที่ดังกล่าวเลย
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้