หลังจากที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลสรุปการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ครั้งที่ 2/2566 ว่า นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล คือการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ ให้เข้าถึงทุกพื้นที่ เพื่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยหมุนเวียนภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยเป็นการลงทุนที่มอบสิทธิและอำนาจให้กับประชาชนช่วยกันกอบกู้เศรษฐกิจ ซึ่งจะก่อให้เกิดการลงทุนในภาคประชาชน ทั้งการรวมเงินในครัวเรือนเพื่อประกอบอาชีพ การซื้อ-ขายสินค้าของพ่อค้าแม่ค้า ไปจนถึงการสั่งผลิตสินค้าในโรงงาน SME ไปจนถึงโรงงานขนาดใหญ่
รวมทั้งนายกฯ ยังกล่าวต่อไปว่า โครงการนี้ไม่ได้เป็นแค่ความฝัน แต่กำลังเป็นความจริง รัฐบาลได้หาข้อสรุปที่ดีที่สุด ผ่านการเติมเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ มูลค่า 560,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินดิจิทัล 500,000 ล้านบาท ครอบคลุมสิทธิ 50 ล้านคน สำหรับคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป มีเงินในระบบ ที่มีรายได้ไม่ถึง 70,000 บาทต่อเดือน และมีเงินฝากรวมทุกบัญชีไม่ถึง 500,000 บาท ส่วนอีก 60,000 ล้านบาท จะใช้เพื่อกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ
ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีการประกาศเงื่อนไขและรายละเอียดของโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ทางสมาคมฯ เห็นว่าเป็นนโยบายที่จะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้โตได้ในระยะสั้น ทั้งยังช่วยในการอัดฉีดเม็ดเงินให้เข้าถึงทุกพื้นที่ เกิดการหมุนเวียนเม็ดเงินอย่างมีศักยภาพ ช่วยบรรเทาภาระ ค่าครองชีพ ส่งเสริมธุรกิจของผู้ประกอบการทุกระดับ
แต่ยังต้องมีความชัดเจนในการออกมาตรการและเงื่อนไขมากขึ้น เพื่อสร้างความเข้าใจและมั่นใจให้กับประชาชนและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะร้านค้ารายย่อย ร้านอาหาร โชห่วย หาบเร่ แผงลอย รวมถึงคำนึงถึงการพิจารณาปรับหลักเกณฑ์อย่างรัดกุมให้ปฏิบัติได้จริง เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง สอดคล้องกับความต้องการ ความสะดวกในการใช้งาน และเอื้อประโยชน์อย่างแท้จริงต่อประชาชนและผู้ประกอบการ
ญนน์ เผยต่อว่า โดยขอเสนอแนะให้ขยับเวลาประกาศใช้ในเดือนเมษายนแทนพฤษภาคม จะเป็นการสร้าง impact ให้โครงการนี้มากยิ่งขึ้น เพราะเป็นช่วงที่ประชาชนส่วนใหญ่เดินทางกลับภูมิลำเนา นอกจากนี้โครงการดังกล่าวยังสร้างส่งผลดีต่อผู้ประกอบการ SME ในภาคค้าปลีกและบริการทั่วประเทศ รวมถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่มีมากกว่า 2.4 ล้านราย คิดเป็น 80% ของ SME ทั้งประเทศ จะได้รับอานิสงส์โดยตรงจากโครงการนี้ รวมถึงร้านค้าย่อยในชุมชนต่างๆ ทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งหากโครงการฯ ดังกล่าวประสบความสำเร็จ จะนับได้ว่าเป็นการกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีโครงการ e-Refund ที่จะมากระตุ้นการจับจ่ายของกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อ ให้สามารถลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลจากการซื้อสินค้าและบริการ โดยให้วงเงิน 50,000 บาท และหวังว่ารัฐบาลจะเร่งอนุมัติและเพิ่มระยะเวลาใช้จ่ายให้มากกว่าที่ผ่านมา เพื่อช่วยกระตุ้นโครงการ e-Refund ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ดังนั้น สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เชื่อว่าทิศทางเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นได้ หากทุกภาคส่วนร่วมมือกัน สมาคมฯ พร้อมสนับสนุนภาครัฐอย่างเต็มที่ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตไม่ใช่เพียงแค่ระยะสั้น แต่เติบโตแข็งแกร่งในระยะยาวอย่างยั่งยืน
ขณะเดียวกันทางด้าน สมชาย พรรัตนเจริญ ที่ปรึกษาสมาคมค้าปลีก เปิดเผยว่า นโยบายนี้จะเอื้อนายทุนใหญ่ คนรวย เป็นหลัก แต่คนจนข้างล่างจะไม่ได้อะไร เพราะว่าไม่ค่อยกล้ารับชำระด้วยเงินดิจิทัล และไม่มีทุนที่จะเข้าร่วมโครงการ ซึ่งมองว่ารัฐบาลเสริมนายทุนใหญ่ทุกโครงการทุกกลุ่มอยู่แล้ว
สำหรับเงินดิจิทัลนี้ ไทม์ไลน์ #thairathMoney รวมเงื่อนไขนโยบายดังกล่าว โดยจะเปิดใช้เดือน พ.ค. ปี 2567 และสิ้นสุดเดือน เม.ย. ปี 2570 ซึ่งจะเป็นการพัฒนาต่อยอดจากระบบแอปฯ เป๋าตัง ที่มีฐานคนลงทะเบียนแล้ว 40 ล้านคน และมีร้านค้าร่วมอยู่ 1.8 ล้านร้านค้า เนื่องจากมีความพร้อมด้านเทคโนโลยี จะช่วยประหยัดงบประมาณ ลดเวลา และลดความซ้ำซ้อน ขณะเดียวกัน รัฐบาลจะพัฒนาระบบบล็อกเชนเป็นเบื้องหลังร่วม เพื่อใช้ตรวจสอบการทุจริตนั้น
ใดๆ ทั้งสิ้น เงินนี้จะมีที่มาจากเงินบาท และมีมูลค่าเป็นเงินบาท เพราะฉะนั้น เงิน 1 บาทในโครงการนี้ ก็คือ 1 บาทในกระเป๋าเงินนั่นเอง ซึ่งต้องมีการลงทะเบียนรับสิทธิทั้งร้านค้า และยืนยันรับสิทธิโดยประชาชน
ทั้งนี้ ประชาชนจะสามารถจะใช้ซื้อสินค้า อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าอุปโภค บริโภคได้เท่านั้น ไม่สามารถใช้กับบริการได้ ไม่สามารถใช้ซื้อสินค้าออนไลน์ได้ ไม่สามารถซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ กัญชา กระท่อม พืชกระท่อม และผลิตภัณฑ์จากกัญชาและพืชกระท่อม ไม่สามารถนำไปซื้อบัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชร พลอย อัญมณีได้
ไม่สามารถนำไปชำระหนี้ได้ ไม่สามารถจ่ายค่าเรียน ค่าเทอม ไม่สามารถนำไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ หรือซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติได้ แลกเป็นเงินสดไม่ได้ แลกเปลี่ยนในตลาดต่างๆ ไม่ได้ และใช้ได้กับร้านค้าที่อยู่ในอำเภอเดียวกับบัตรประชาชนเท่านั้น โดยสามารถใช้ซื้อสินค้าได้ทุกร้านค้า ไม่ได้จำกัดแต่ร้านที่อยู่ในระบบภาษี ไม่จำเป็นต้องจด VAT แต่ต้องมีการลงทะเบียนรับสิทธิ และร้านค้าที่จะขึ้นเงินได้ต้องอยู่ในระบบภาษีเท่านั้น