“เด็ดดอกไม้สะเทือนดาว” อีกครั้ง เมื่อนักท่องเที่ยวสาวชาวจีนใช้ “ฟรีวีซ่า” มาทัวร์เมืองไทยช่วง “โกลเดนวีก” ที่ผู้นำไทยกล่าวยืนยัน “ทัวริสต์จีนทุกคนจะต้องปลอดภัยนับแต่ก้าวแรกที่เข้ามา กระทั่งก้าวสุดท้ายเมื่อกลับไป”
ทว่าก็มีข่าวร้ายในช่วงเย็นวันที่ 3 ตุลาคม กรณีข่าวดังเยาวชนวัย 14 ปี ลั่นกระสุนกลางห้างดังย่านช็อปปิ้งชั้นนำเมืองหลวง หลัง “คิกออฟฟรีวีซ่า” ได้เพียง 1 สัปดาห์
ประเด็นสำคัญมีว่าโหมดนี้ไทยจะไปเหลืออะไรให้คนจีนมาเที่ยว 5 ล้านคนปีนี้ ทั้งที่ปี 2561 เรือทัวร์เคยพาทัวร์จีนไปล่มใส่ทะเลภูเก็ต ตาย 47 ชีวิต...ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก?
แล้ว “ดอกไม้จีนที่ถูกเด็ดคราวนี้” ข่าวว่า “สะเทือนถึงภูเก็ต” บ้างนิดหน่อย ด้วยรัฐบาลหมายมั่นจะส่งเสริมท่องเที่ยวคลัสเตอร์อันดามัน 3 จังหวัด คือภูเก็ต พังงา กระบี่ เป็นสถานีแรก
โดยยกทีมไปรับทราบปัญหาเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม หนสองวันที่ 29 กันยายน ติดตามโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมชายฝั่ง อันดามัน และความคืบหน้าการพัฒนาสนามบินภูเก็ตกับสนามบินกระบี่ การสร้างสนามบินใหม่ อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา รวมถึงโครงการทางพิเศษกะทู้-ป่าตอง, กะทู้-เมืองใหม่
โดยหยอดคำหวานภูเก็ตจะเป็นโมเดลกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้เป็นนิวเดสติเนชันแก่นักท่องเที่ยวทั่วโลก เมืองไทยจะได้พ้นพงหนามเศรษฐกิจ “สับปะรังเค” เสียที...ฟังแล้วน้ำตาจิไหล
นายหัวโรงแรมภูเก็ตรุ่นบุกเบิกลั่นเห็นด้วย ที่ผู้นำระดับเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์ นอกจากจะยอมทิ้งเงินเดือนช่วยคนจนแล้ว ยังหัวก้าวหน้าเทงบฯ 8.5 พันล้านบาท พัฒนาสนามบินนานาชาติภูเก็ตและกระบี่ กับอีก 8 หมื่นล้านบาท สร้างสนามบินแห่งใหม่ให้พังงา กระจายเป็นใยแมงมุมขยายรับจำนวนเที่ยวบินสุดท้าย
ความคาดหวังสำคัญพุ่งเป้าไปที่ปลายน้ำ นั่นก็คือ...เพิ่มจำนวน “นักท่องเที่ยว” เป็นอินฟินิตี้
“วิธีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่” นายหัวรายเดิมว่า
“รัฐบาลก่อนๆ รับจะสร้างสนามบินหรือพัฒนาสนามบินทหารเป็นสนามบินพาณิชย์ให้ เช่น ระนองเคยใช้ภูเก็ต ชุมพรใช้สุราษฎร์ธานีที่ห่างกัน 193 กิโลเมตรเชื่อม ผลคือไม่มีเที่ยวบินเพราะตลาดไม่ตอบสนอง มีที่ขอเป็นสนามบินนานาชาติอย่างอุบลราชธานี...
อ้างเปิดน่านฟ้ารับสายการบินต่างชาติจากเพื่อนบ้านก็ไร้เงา... ล่าสุดสนามบินเบตงยังเถียงกันไม่จบ แต่คิดว่าอนาคตอันดามันอินเตอร์เนชันแนลแอร์พอร์ตคงไม่เป็นเช่นนั้น”
ตัดกลับไปที่กรณีไทยเปิด “ฟรีวีซ่า” เป็นแม่เหล็กดูดทัวริสต์จีน 3 เทศกาลสำคัญ คือ...วันชาติ ช่วง “โกลเดนวีก” ปีใหม่และตรุษจีน มั่นใจยอดจะเพิ่ม 3.4 ล้านคน รายได้ 1.74 แสนล้านบาท
ทว่า...ฝ่ายค้านชิงหงายไพ่ไว้กลางสภาก่อนว่า เป็นเรื่อง “ธุรกิจทัวร์จีน” ต้องการรุกคืบไทยแบบครบวงจร
คือขายโปรแกรมทัวร์ โรงแรมที่พัก อาหารการกิน สถานที่ท่องเที่ยว รถนำเที่ยว ช็อปปิ้ง ให้แก่ธุรกิจทุนจีนเรียกเงินเม็ดนั้นกลับประเทศ ตามกระบวนการ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ที่ไทยแทบไม่ได้อะไรเลย นอกจากเศษเงินแลกกับการใช้ทรัพยากรบ้านเราอย่างมูมมาม
แน่นอนว่าประเด็นสำคัญข้างต้นนี้นั้นสำคัญและน่าสนใจ อีกทั้งในส่วนกลุ่มหมวยตี๋ยุคใหม่ที่นิยมวางแผนจัดการท่องเที่ยวด้วยตนเอง เมินบริษัทนำเที่ยวทั้งจีนและไทย ก็อาศัยวิธีซื้อบริการเบ็ดเสร็จเป็น วอชเชอร์มาจากต้นทางผ่านเอเย่นต์ โดยคิดค่าธุระ 15-30%
พฤติกรรมนี้ผู้ประกอบการไทยรู้ดี...น้ำตาตกมานานแล้ว
หงายไพ่มาขนาดนี้กระทั่งโป๊ะแตกตรงรายได้ 1.74 แสนล้านบาทที่ว่า...ไทยอาจจะได้เพียงตัวเลข ส่วน “เม็ดเงิน” ตัวเงินจริงๆนั้นตกหล่นที่จีนหาได้บินมาถึงไทยไม่!
“ที่ภูเก็ตก็เหมือนกัน” นายหัวภูเก็ตเผย
“ธุรกิจทุนจีนได้ย้ายฐานจากพัทยาพร้อมทุนอินเดียกับรัสเซียตามมาติดๆ เพราะทุกวันนี้คนจีนนิยมใช้ภูเก็ตเป็นบ้านหลังที่สองโดยใช้คนไทยเป็นนอมินี อพยพลูกหลานมาเรียนหนังสือด้วยรู้ว่าค่าครองชีพต่ำ นี่ยังไม่นับรวมอินเดียที่ฮัดช่ามายึดหัวหาดทำการค้าและรัสเซียหนีทหารมาหลบเลี่ยงการถูกเกณฑ์ไปรบยูเครน”
สถานการณ์จริงเป็นเช่นนี้ นายหัวย้ำว่า... “ภูเก็ต” จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยการผูกขาดไว้กับตลาดจีน อินเดีย รัสเซีย เหมือนฝั่งตะวันออก เพราะจะทำให้ตลาดเหล่านี้มีอำนาจและเงื่อนไขต่อรองสูง เหมือนคราวปาร์ตี้แจกกล้วยหอมและข้าวเหนียวมะม่วงป้อนทัวร์จีนให้กลับมาเที่ยวไทย
พุ่งเป้าสำคัญเดินหน้าต่อ...“ควรให้ความสำคัญกับเอเย่นต์พันธมิตรต่างชาติทุกตลาดใกล้เคียงกัน เนื่องจากผู้ประกอบการภูเก็ตมียูนิตี้ในการทำตลาดกับผู้ซื้อทั่วโลก ทุกปีจะร่วมกันลงขันไปทรงตลาดเก่าและหาตลาดใหม่อยู่แล้ว” นายหัวภูเก็ตกล่าวทิ้งท้าย
เลิศชาย หวังตระกูลดี ผอ.ททท.สำนักงานภูเก็ต เสริมว่า วิธีส่งเสริมตลาดท่องเที่ยวต่างประเทศที่ผ่านมา ททท.ภูเก็ต ในฐานะแกนนำด้านตลาดองค์กรรัฐจะเป็นผู้คอยให้คำปรึกษาแนะนำ และกำหนดเป้าหมายแก่องค์กรท่องเที่ยวภาคเอกชนทุกสาขาในภูเก็ต
เข้าใจว่า...เนื่องจากสถานการณ์พื้นที่ค่อนข้างอ่อนไหวง่ายและเคลื่อนตัวเร็วตลอดทั้งปี
“เราพร้อมเสมอที่จะทำความเข้าใจถึงสถานการณ์ตลาดต่างประเทศ และเทรนด์ท่องเที่ยวโลกโดยได้รับข้อมูลจาก ททท.ต้นทางประเทศนั้นๆแต่ละตลาด เพื่อผู้ประกอบการจะได้ศึกษาและกำหนดยุทธวิธีรุกตลาดอย่างมีรูปแบบพร้อมกลุ่มเป้าหมาย”
เลิศชาย บอกอีกว่า การทำตลาดที่นี่อาจแตกต่างที่อื่น คือองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ตยินดีให้การสนับสนุนคืนงบประมาณในการดำเนินงานบางส่วนกลับให้เอกชน ส่วนค่าเครื่องบิน ที่พัก อาหาร และอื่นๆ เอกชนรับผิดชอบเองทั้งหมด
“ขณะเดียวกัน ททท.ต่างประเทศจะรับหน้าเสื่อเป็นผู้เชิญเอเย่นต์ทัวร์รายใหญ่ที่ขายโปรแกรมมาไทย ร่วมเปิดตลาดเพื่อเจรจาซื้อขายธุรกิจจากผู้ขายที่ไปจากเมืองไทย”
ถึงตรงนี้ให้เข้าใจภาพการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้อย่างลึกซึ้ง “ตลาดภูเก็ต”...จึงมีความหลากหลายตั้งแต่เริ่มเปิดประเทศหลัง โควิดระบาด ด้วยวิมานปราสาททรายของผู้นำคนก่อน หรือโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” มาช่วยพยุงขัดตาทัพอยู่พักใหญ่ ก่อนถึงมหกรรมเปิด “ฟรีวีซ่า” ให้จีนพ่วงแขกขาวคาซัคสถาน
จน...“ดอกไม้จีนถูกเด็ดร่วงกลางเมืองหลวง” สะเทือนไปทั่วทั้งโลก
แต่เชื่อมั้ย...วิธีการด้านตลาดต่างประเทศถึงภูเก็ตจะมีผลกระทบต่อตลาดจีนอยู่บ้าง ซึ่งอาจซบเซาเป็นเวลาอันสั้น กระนั้น...ไม่รุนแรงน่าห่วงเพราะมีตลาดอินเดีย รัสเซีย และมิดเดิลอีสต์เข้ามาเติมเต็มตลอดช่วงฤดูกาลนี้...
ฉะนั้นจึง “ย–ห” อย่าห่วง “ภูเก็ต” ด้วยเรื่องนี้.