นายเอกฉัตร ศีตวรรัตน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า คณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 23 เมื่อวันที่ 3 ก.ย.66 ณ กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย เห็นชอบให้ประกาศเริ่มต้นการเจรจาความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียนอย่างเป็นทางการ โดยกำหนดเริ่มเจรจารอบแรกเดือน พ.ย.66 ตั้งเป้าสรุปผลภายใน 2 ปี คาดว่า จะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าผ่านระบบดิจิทัลในอาเซียนถึง 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 73
“ความตกลงนี้ จะช่วยให้อาเซียนมีกรอบกติกาการค้าดิจิทัลที่เหมือนกัน เปิดกว้าง และปลอดภัยในการทำธุรกรรมด้านดิจิทัล เช่น การยืนยันและพิสูจน์ตัวตน การใช้เอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการชำระเงินดิจิทัลที่เชื่อมโยง และยอมรับร่วมกันได้ภายในภูมิภาค ซึ่งจะสนับสนุนการค้าผ่านระบบดิจิทัลระหว่างกันอย่างไร้รอยต่อ รวมทั้งจะเสริมศักยภาพด้านการแข่งขันและลดช่องว่างด้านดิจิทัลระหว่างกัน”
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบจัดทำยุทธศาสตร์เพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอน กรอบความร่วมมือเศรษฐกิจภาคทะเล ปฏิญญาผู้นำเรื่องการเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงพิจารณาวิสัยทัศน์ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในระยะ 20 ปีข้างหน้า (ปี 69-88) เพื่อให้การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียนลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ด้านนางพิมพ์ชนก พิตต์ฟีลด์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก กล่าวว่า องค์การการค้าโลก (WTO) จะจัดประชุมรัฐมนตรีการค้าครั้งที่ 13 ที่กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ วันที่ 26-29 ก.พ.67 ซึ่งมีประเด็นที่เจรจาหลายเรื่อง โดยประเด็นสำคัญต่อไทย เช่น การอุดหนุนประมงที่แม้ความตกลงแม่บทเจรจาจบแล้ว แต่ยังมีเรื่องที่ต้องเจรจาต่อเพื่อให้ความตกลงสมบูรณ์ เช่น การอุดหนุนประมงที่เกินศักยภาพและเกินขนาด การอุดหนุนประมงให้เรือที่ทำการประมงนอกน่านน้ำ การปฏิบัติที่เป็นพิเศษแก่ประเทศกำลังพัฒนา การทำประมงพื้นบ้าน ฯลฯ คาดจะเจรจาจบก่อนประชุมครั้งที่ 13
นอกจากนี้ ยังมีการเจรจาเรื่องการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร การปฏิรูป WTO การเจรจาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ที่มีความสำคัญมาก เช่น ต่ออายุการยกเว้นเก็บภาษีศุลกากรของการทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ จัดทำกฎเกณฑ์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อพัฒนากฎระเบียบการค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์การค้าโลก เป็นต้น.