นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ในช่วงวันแม่ 12 ส.ค.66 คาดว่าเม็ดเงินจะสะพัด 10,632 ล้านบาท ลดลง 2.3% เมื่อเทียบปี 65 ที่มีเงินสะพัด 10,883 ล้านบาท เป็นการลดลงเป็นครั้งที่ 2 ตั้งแต่เริ่มสำรวจในปี 52 โดยครั้งแรกเมื่อช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 63 เงินสะพัด 9,984 ล้านบาท ลดลง 28.0% การใช้จ่ายที่ลดลงเป็นผลมาจากประชาชนมีความระมัดระวังการจับจ่ายมากขึ้น และเกิดจากเพิ่งผ่านช่วงวันหยุดยาว 6 วัน ในช่วงปลายเดือน ก.ค.-ส.ค.66 อย่างไรก็ดีการใช้จ่ายในวันแม่ปีนี้ ยังคึกคักใกล้เคียงกับปีก่อน
สำหรับผลสำรวจทัศนคติและพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนเกี่ยวกับวันแม่ จากกลุ่มตัวอย่าง 1,250 คนทั่วประเทศ พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 60.9% ตอบว่า จะไปพบแม่ในช่วงวันแม่ ขณะที่อีก 39.1% ไม่ได้ไป โดยแผนการทำกิจกรรมส่วนใหญ่จะพาแม่ไปทานข้าว รองลงมา ทำกิจกรรมร่วมกัน และพาแม่ไปทำบุญ พาแม่ไปเที่ยวต่างจังหวัด (ค้างคืน) พาแม่ไปทำกิจกรรมนอกบ้าน เป็นต้น
ส่วนของขวัญยอดนิยมที่ตั้งใจจะซื้อให้ในวันแม่ อันดับ 1 คือพวงมาลัย-ดอกไม้ อันดับ 2 ให้เงินสด-ทองคำ อันดับ 3 เครื่องนุ่งห่ม-รองเท้า อันดับ 4 เครื่องดื่มบำรุงร่างกาย อันดับ 5 เครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนการวางแผนพาแม่ไปเที่ยวต่างจังหวัด ในช่วงวันหยุด 12-14 ส.ค.นี้ พบว่าส่วนใหญ่ 84.8% ไม่พาไปและอีก 15.2% ตอบว่าพาไป และ ส่วนใหญ่ใช้งบประมาณไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อน และบางส่วนใช้ลดลง เนื่องจากต้องประหยัดมากขึ้น มีภาระเพิ่มขึ้น เป็นหนี้มากขึ้น และเศรษฐกิจยังไม่ดี.