รอรัฐบาลใหม่ตัดสินใจชี้ขาดตรึงราคา “แอลพีจี”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้ติดตามราคาน้ำมันตลาดโลกโดยเฉพาะน้ำมันดีเซลอย่างใกล้ชิด เพื่อบริหารราคาขายปลีก ให้อยู่ในระดับ 32 บาทต่อลิตร เพื่อไม่ให้กระทบค่าครองชีพประชาชน โดยเมื่อวันที่ 27 ก.ค. คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันอุดหนุนราคาดีเซล ลิตรละ 3.13 บาทแทนประชาชน โดยประเทศไทยมีความต้องการใช้น้ำมันดีเซล 61.41 ล้านลิตรต่อวัน ทำให้ต้องใช้เงินอุดหนุนวันละ 192 ล้านบาท ขณะที่เมื่อหักลบกับรายได้ที่เก็บจากน้ำมันประเภทอื่นๆ ทำให้รายได้กองทุนน้ำมัน ที่เคยเป็นบวกต้องติดลบ 91.43 ล้านบาทต่อวัน หรือเฉลี่ยเดือนละ 2,800 ล้านบาท จึงต้องติดตามการประชุมโอเปกพลัสวันที่ 4 ส.ค.นี้ ว่าซาอุดีอาระเบียจะลดกำลังการผลิตลงหรือไม่

ล่าสุด กองทุนน้ำมัน ณ วันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา ติดลบ 48,477 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 3,124 ล้านบาท บัญชีแอลพีจีติดลบ 45,353 ล้านบาท ที่ผ่านมากองทุนน้ำมันได้ชำระหนี้ให้กับผู้ค้าน้ำมัน มาตรา 7 จากการตรึงราคาน้ำมันดีเซล 55,000 ล้านบาท ยังคงเหลือวงเงิน 55,000 ล้านบาท ในการดูแลจากวงเงินที่กู้ยืมมา 110,000 ล้านบาท

โดย สกนช.ต้องติดตามราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ตลาดโลกใกล้ชิด และสิ่งสำคัญยังต้องคำนึงถึงรายได้ของกองทุนน้ำมันด้วย เพราะหากการจัดเก็บต่ำ ก็จะไม่มีวงเงินสำหรับชำระหนี้คืนเงินกู้

สำหรับราคาแอลพีจีที่ตรึงไว้ 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ที่จะสิ้นสุดวันที่ 31 ส.ค.นี้ สกนช.กำลังติดตามราคาตลาดโลก โดยยอมรับว่าแนวโน้มราคาค่อนข้างอ่อนตัวลง ส่วนจะมีการตรึงราคาต่อหรือไม่ ต้องมาดูภาพรวมและกระทรวงพลังงานจะดูแลราคาดีเซลและแอลพีจีต่อไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่มาตัดสินใจ.