ส่งออกทรุดติดลบรอบ 3 ปี  ธปท.ชี้การเมืองวุ่นวายกระทบเศรษฐกิจ

Economics

Thailand Econ

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

ส่งออกทรุดติดลบรอบ 3 ปี ธปท.ชี้การเมืองวุ่นวายกระทบเศรษฐกิจ

Date Time: 20 ก.ค. 2566 06:01 น.

Summary

  • ผู้ว่า ธปท.มองเศรษฐกิจไทยปีนี้โตได้ 3-4% มองการเมืองไม่แน่นอนเป็นปัจจัยเสี่ยง แนะการทำนโยบายรัฐบาลใหม่ควรเน้นเสถียรภาพ ลงทุนต่างประเทศ ด้าน ม.หอการค้าไทยคาด เดือน ส.ค.นี้ยังไม่ได้รัฐบาล ส่งออกไทยปีนี้ติดลบหนักถึง 3.1%

Latest

ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ย้ำชัด ไทยไม่ลด "ดอกเบี้ย" ตามเฟด ชี้ "บาทแข็งค่า" ไม่ทุบทิศทางส่งออกไทย

ผู้ว่า ธปท.มองเศรษฐกิจไทยปีนี้โตได้ 3-4% มองการเมืองไม่แน่นอนเป็นปัจจัยเสี่ยง แนะการทำนโยบายรัฐบาลใหม่ควรเน้นเสถียรภาพ ลงทุนต่างประเทศ ด้านม.หอการค้าไทยคาด เดือน ส.ค.นี้ยังไม่ได้รัฐบาล ส่งออกไทยปีนี้ติดลบหนักถึง 3.1% เพราะไม่มีรัฐบาลขับเคลื่อนโดยตรง นโยบายการค้าระหว่างประเทศได้รับผลกระทบ และมีปัจจัยเสี่ยงอื่นรุมเร้า ติดลบครั้งแรกในรอบ 3 ปี แต่ถ้าตั้งได้ในเดือน ส.ค.นี้ ติดลบน้อยลงเหลือแค่ 1.8%

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังว่า หากในแง่พื้นฐานเศรษฐกิจครึ่งปีหลังน่าจะขยายตัวได้ดีกว่าครึ่งปีแรก โดยครึ่งปีแรกที่ผ่านมาขยายตัว 2.3% แต่ครึ่งปีหลังน่าจะขยายตัวได้ 4.2% โดยปัจจัยหลักคือ รายได้ที่ดีขึ้นจากการท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลดีต่อการใช้จ่ายภาคเอกชน และประชาชน คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 29 ล้านคนในปีนี้ ขณะที่ในส่วนการส่งออกของไทยจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในช่วงหลังที่ไทยผูกกับเศรษฐกิจจีนมาก โดย ธปท.ประเมินว่า ส่งออกในครึ่งปีแรกจะติดลบ แต่การส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังจะกลับมาเป็นบวก และภาพรวมการขยายตัวน่าจะทรงตัวหรือเป็นศูนย์

ส่วนปัจจัยเงินเฟ้อในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาชะลอตัวมากกว่าที่ ธปท.คาดไว้ แต่เชื่อว่าเป็นปัจจัยระยะสั้น และในช่วงต่อไปเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงฟื้นตัว เงินเฟ้อยังไม่สามารถวางใจได้ยังกลับมาเพิ่มขึ้นอีกได้ ทำให้การดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท.ยังอยู่ในทิศทางเดิมคือ การปรับดอกเบี้ยสู่ระดับปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไป และจะพิจารณาภายใต้การติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ และมองไปข้างหน้าอย่างใกล้ชิด

“สำหรับผลของความไม่แน่นอนทางการเมือง ความล่าช้าของการตั้งรัฐบาล และได้รับผลกระทบจากความล่าช้าของงบประมาณ ซึ่ง ธปท.คาดว่าจะช้าไป 3 เดือน แต่ส่วนนี้ไม่ได้ทำให้การประมาณ การเศรษฐกิจในปีนี้ของ ธปท.ที่ 3-4% เปลี่ยนแปลง แต่จะไปกระทบการขยายตัวเศรษฐกิจในปีหน้า ขณะที่สิ่งที่กังวลมากกว่าคือ ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยเป็นหลัก ทั้งจากนักลงทุนไทย และต่างประเทศ รวมทั้งสถาบันจัดอันดับเครดิตระดับโลกที่จับตาเศรษฐกิจไทยอยู่ก็ให้ความเสี่ยงของการเมืองไทยเป็นเรื่องสำคัญต่อความเชื่อมั่นมาก”

ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวต่อว่า ส่วนในระยะต่อไป สิ่งที่ต้องติดตามคือ นโยบายของรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามา ว่าจะออกมาในรูปแบบใด มองว่า ควรเป็นนโยบายที่ไม่ขัดต่อหลักเสถียรภาพ ทั้งด้านการเงิน และการคลัง ไม่ใช่นโยบายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไม่เหมาะสม เพราะในขณะนี้ อีกสิ่งที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือมองไทยคือ นโยบายของรัฐบาลใหม่ว่าจะเป็นอย่างไร สร้างความเสี่ยงทางเสถียรภาพต่อเศรษฐกิจหรือไม่ ซึ่งการกระตุ้นเศรษฐกิจมีได้หลายช่องทาง หากให้คนกู้เงินเพิ่มก็เสี่ยงกับหนี้ครัวเรือนเพิ่ม รัฐบาลกู้มาทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ แจกเงิน รัฐก็มีเงินเหลือไม่มาก และไม่ดีต่อการสร้างเงินเฟ้อ ส่วนที่ดีที่สุดคือ การกู้เงิน โดยภาคเอกชนมาลงทุนเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลควรสนับสนุน

ทางด้านนายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลวิเคราะห์การส่งออกไทยปี 66 ว่า หากไม่สามารถจัดตั้งได้ภายในเดือนส.ค.นี้ จะไม่มีผู้รับผิดชอบประเทศโดยตรงในการขับเคลื่อนส่งออก จากปัญหาภายนอกประเทศที่รบเร้าอยู่ ทำให้คาดว่าการส่งออกไทยปี 66 จะมีมูลค่า 278,169-281,614 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ติดลบ 1.9% ถึงติดลบ 3.1% หรือมีค่ากลางที่ 279,891 ล้านเหรียญ ติดลบ 2.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ขยายตัว 5.5% เป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 3 ปีนับจากปี 63 ที่ติดลบ 5.9% โดยคาดว่าครึ่งหลัง มูลค่าจะอยู่ที่ 136,675-140,120 ล้านเหรียญ ติดลบ 0.9% ถึงบวก 1.6% หรือมีค่ากลางที่ 138,398 ล้านเหรียญ เพิ่ม 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 65

แต่หากจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ภายในเดือนส.ค.นี้ คาดว่าจะได้มูลค่า 282,038-289,422 ล้านเหรียญ ติดลบ 1.8% ถึงลบ 0.8% หรือมีค่ากลางที่ 283,738 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ติดลบ 1.2% เมื่อเทียบกับปี 65 โดยคาดว่าครึ่งหลังจะมีมูลค่า 140,545-147,928 ล้านเหรียญ เพิ่ม 1.9-7.2% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี 65 หรือมีค่ากลางที่ 142,244 ล้านเหรียญ เพิ่ม 3.1%

“ถ้าเดือน ส.ค.นี้ยังไม่ได้รัฐบาล การส่งออกไทยจะติดลบหนัก เพราะจะกระทบกับนโยบายการค้าต่างประเทศ การเจรจาความตกลงการค้าเสรี รวมถึงการบุกตลาดใหม่ๆ ฉุดเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวเหลือ 2.5-2.9% ซึ่งในมุมมองนักลงทุนต่างชาติ การลงทุนโดยตรงจะถูกลดความเชื่อมั่นลง ไทยจะเสี่ยงกลายเป็นประเทศล้าหลังด้านเศรษฐกิจมากสุดในอาเซียน รองจากเมียนมา และกรณีเลวร้ายที่สุดคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กลายเป็นฝ่ายค้าน จะเกิดความวุ่นวายในประเทศและต่างชาติจะสับสนกับการเมืองไทยเป็นอย่างมาก”

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆอีก ทั้งเศรษฐกิจโลก และคู่ค้าสำคัญชะลอตัว, เศรษฐกิจจีนอาจโตไม่ถึง 5% ตามเป้าหมาย เพราะขณะนี้การบริโภค การลงทุน และภาคอสังหาริมทรัพย์ชะลอลง, อัตราการว่างงานของประเทศคู่ค้าที่สูงขึ้น, ค่าเงินที่ผันผวนจากอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐฯที่ทรงตัวในระดับสูง และมีโอกาสปรับขึ้นอีก, เอลนีโญส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตร และราคาน้ำมันดิบอาจปรับตัวสูงขึ้นจากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกรวมถึงปัจจัยที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกเช่นกัน โดยเฉพาะปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนการผลิตที่สูง เช่น ค่าไฟฟ้า พลังงาน และค่าจ้าง เป็นต้น.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ