นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษา ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า ในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค.66 ประเมินว่า จะมีเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจสูงถึง 20,000-30,000 ล้านบาท จากภาพรวมที่เคยประเมินว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะมีเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจทั้งหมด 50,000-60,000 ล้านบาท และเมื่อเกิดการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบประมาณ 100,000 ล้านบาท ซึ่งมีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยแน่นอน
“ศูนย์พยากรณ์ฯ ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้ 3.0-3.5% และเริ่มมองเห็นโอกาสที่จะขยายตัวมากกว่า 3.5% ได้ หากเศรษฐกิจโลกไม่ชะลอตัวรุนแรง จะทำให้การส่งออกของไทยฟื้นตัวดีขึ้น รวมถึงการเมืองต้องมีเสถียรภาพ ถ้ารัฐบาลใหม่ไม่มีเสถียรภาพ เศรษฐกิจมีโอกาสขยายตัวต่ำกว่า 3% ซึ่งจะกระทบความเชื่อมั่นผู้บริโภค นักลงทุน การท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี ศูนย์จะประเมินเศรษฐกิจไทยอีกครั้งในช่วงเดือน ก.ค.นี้ หลังจัดตั้งรัฐบาลแล้ว”
ทั้งนี้ ประเมินว่าการจัดตั้งรัฐบาลจนถึงแถลงนโยบายจะชัดเจนในช่วงเดือน ก.ค.หรือเดือน ส.ค.นี้ และกว่าเม็ดเงินงบประมาณภาครัฐจะออกมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่คงอยู่ในช่วงไตรมาส 1 ปี 67 อย่างไรก็ตาม หลังจากจัดตั้งรัฐบาลแล้ว เสถียรภาพของรัฐบาลจะเป็นตัวสำคัญในการกำหนดทิศทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ถ้ารัฐบาลมีเสถียรภาพ มีนโยบายเศรษฐกิจเป็นที่ถูกใจ ก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างเด่นชัดในไตรมาส 4 เป็นต้นไป โดยภาคเอกชนมองว่าเศรษฐกิจไทยจะโตได้ 3.35-3.82% ซึ่งอยู่ในกรอบเดียวกับที่ศูนย์ประเมินไว้ที่ 3-4% โดยภาคท่องเที่ยวจะเป็นตัวหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจ.