โพลคนไทยพอใจสวัสดิการรัฐ ติงให้เงินน้อยนิด-เข้าบัญชีช้า-โรงพยาบาลคิวนาน

Economics

Thailand Econ

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

โพลคนไทยพอใจสวัสดิการรัฐ ติงให้เงินน้อยนิด-เข้าบัญชีช้า-โรงพยาบาลคิวนาน

Date Time: 1 ก.พ. 2566 07:52 น.

Summary

  • ครม.รับทราบผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนสวัสดิการของรัฐ ชี้ 97% พอใจการให้บริการ ขณะที่ติงการรับบริการโรงพยาบาลล่าช้า รอคิวนาน และต้องใช้บริการเฉพาะโรงพยาบาลตามสิทธิเท่านั้น ส่วนการเก็บภาษี

Latest

ทอท. ลงทุนเต็มพิกัด 10 ปี 2 แสนล้านบาท เที่ยวบินอินเตอร์ฟื้นตัวเกิน 100%

ครม.รับทราบผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนสวัสดิการของรัฐ ชี้ 97% พอใจการให้บริการ ขณะที่ติงการรับบริการโรงพยาบาลล่าช้า รอคิวนาน และต้องใช้บริการเฉพาะโรงพยาบาลตามสิทธิเท่านั้น ส่วนการเก็บภาษีเพื่อช่วยดูแลสวัสดิการ ประชาชน 37.5% ไม่ยินยอมให้จัดเก็บภาษี ระบุไม่มีเงินจ่าย กลัวจัดสวัสดิการไม่ทั่วถึง เสนอให้ดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น เรียนฟรีทุกระดับให้ความรู้ดิจิทัล เท่าทันภัยออนไลน์

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสวัสดิการของรัฐ พ.ศ.2565 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) สำรวจประชาชนอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นในทุกจังหวัดทั่วประเทศ 6,970 คน ต่อสวัสดิการของรัฐ 7 รายการ ดังนี้

รายการที่ 1.การใช้บริการสวัสดิการของรัฐด้านคุณภาพชีวิต เช่น เบี้ยยังชีพ เด็กแรกเกิด บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยยังชีพคนพิการ ประชาชนมากกว่า 97% ระบุว่า ไม่มีปัญหาการใช้บริการ ขณะที่น้อยกว่า 3% มีปัญหา เช่น ให้เงินไม่พอ ลำบากในการต้องไปถอนเงิน และเงินเข้าช้า

รายการที่ 2. สวัสดิการของรัฐด้านการศึกษาขั้นพื้นฐาน เรียนฟรีถึงมัธยม ศึกษาปีที่ 3 ช่วยลดค่าใช้จ่ายของครัวเรือน ซึ่งประชาชน 80.6% ระบุว่าสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก-มากที่สุด อย่างไรก็ตาม 3.2% เห็นว่าช่วยลดค่าใช้จ่ายได้น้อย-น้อยที่สุด หรือไม่ช่วยเลย

รายการที่ 3.สวัสดิการของรัฐด้านการรักษาพยาบาล ได้แก่ สิทธิข้าราชการ สิทธิประกันสังคม และสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พบว่า ประชาชนมากกว่า 97% ระบุว่าไม่มีปัญหาในการใช้บริการ และน้อยกว่า 2% มีปัญหา เช่น การบริการล่าช้า รอคิวนาน และต้องใช้บริการเฉพาะโรงพยาบาลตามสิทธิเท่านั้น

รายการที่ 4.ความพึงพอใจในการใช้บริการด้านการรักษาพยาบาล พบว่า ประชาชนที่เข้ารับการรักษาใน โรงพยาบาลเอกชน 76.8 % มีความพึงพอใจมาก-มากที่สุด และ 1%พึงพอใจน้อย-น้อยที่สุด ส่วนประชาชนที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐ 70.4% มีความพึงพอใจมาก-มากที่สุด และ 3.6% มีความพึงพอใจน้อย-น้อยที่สุด ส่วนความพึงพอใจต่อสิทธิรักษาพยาบาล พบว่า ประชาชนที่ใช้สิทธิประกันสุขภาพ/ประกันชีวิต 86.5% มีความพึงพอใจมาก-มากที่สุด รองลงมาคือสิทธิสวัสดิการ ข้าราชการ จ่ายเงินเอง สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และสิทธิกองทุนประกันสังคม ตามลำดับ

รายการที่ 5.สวัสดิการที่ประชาชนต้องการให้รัฐจัดเพิ่ม เช่น การสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้กับครัวเรือนที่เลี้ยงดูบิดา/มารดาที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 93.5% จัดสวัสดิการศูนย์เลี้ยงเด็กเล็ก/ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในหน่วยงาน/ใกล้สถานที่ทำงาน 78.6% และจัดสวัสดิการขนส่งสาธารณะฟรีให้กับเด็ก/เยาวชนอายุไม่เกิน 25 ปี 85.9%

รายการที่ 6.การจัดเก็บภาษีผู้มีรายได้เพื่อนำมาจัดสวัสดิการให้ครอบคลุมทุกช่วงวัย พบกว่า ประชาชน 44.6% ยินยอมให้จัดเก็บได้ โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้ได้สวัสดิการที่ครอบคลุมและทั่วถึง ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเท่าเทียม แต่ประชาชน 37.5% ไม่ยินยอมให้จัดเก็บด้วยเหตุผลว่า ไม่มีเงินเพียงพอที่จะเสียภาษี กลัวจัดสวัสดิการให้ประชาชนไม่ทั่วถึง และไม่มีหลักเกณฑ์หรือกฎหมายที่แน่นอนรับประกันการจัดสวัสดิการให้

รายการที่ 7.การลงทะเบียนโครงการเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 พบว่า ประชาชนลงทะเบียน 84.2% ไม่ประสบปัญหาในการลงทะเบียน ขณะที่ 15.8% ประสบปัญหา ได้แก่ รอคิวลงทะเบียนกับหน่วย งานนาน เว็บไซต์ขัดข้อง/ล่ม และเดินทางไปหน่วยงานที่รับลงทะเบียนไม่สะดวก หรืออยู่ในพื้นที่ห่างไกล

น.ส.ไตรศุลีกล่าวเพิ่มเติมว่า ในการสำรวจยังได้สรุปเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 5 เรื่องดังนี้ 1.ควรจัดศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อรองรับผู้สูงอายุที่มากขึ้น และลดการถูกทอดทิ้งให้อยู่ลำพัง พร้อมทั้งจัดให้มีกิจกรรมเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตต่างๆ 2.ส่งเสริม/สนับสนุนให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น โดยให้เข้าถึงการบริการช่องทางต่างๆ ของทุกหน่วยงานอย่างสะดวก รวมถึงการทำให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยออนไลน์ 3.สร้างความเชื่อมั่นในการรักษาพยาบาลให้กับประชาชนในการใช้สิทธิการรักษาพยาบาลทุกประเภทให้มีความเท่าเทียม ทั่วถึง และครอบคลุมในทุกพื้นที่ เช่น คุณภาพยา บริการและความสะดวกรวดเร็ว 4.สนับสนุนให้มีสวัสดิการเรียนฟรีในทุกระดับ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา และทุกคนเข้าถึงระบบการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม 5.ส่งเสริม/ สนับสนุนสวัสดิการเพิ่มคุณภาพชีวิต เช่น ค่าใช้จ่ายให้กับครัวเรือนที่เลี้ยงดูบิดา/มารดาที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จัดศูนย์เด็กเล็ก/พัฒนาเด็กเล็กใกล้สถานที่ทำงาน และจัดบริการขนส่งสาธารณะฟรีให้เด็ก/เยาวชน.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ