ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 12 ต.ค. คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (บอร์ด กสทช.) ได้ประชุมพิจารณากรณีควบรวมกิจการระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค
ซึ่งบอร์ดได้รวบรวมข้อมูล ผลการศึกษา และข้อกฎหมาย อย่างครบถ้วนรอบด้าน นับตั้งแต่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่เมื่อเดือน เม.ย. หลังใช้เวลาประชุม 3 ชั่วโมง บอร์ดได้มอบให้นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. ออกแถลงการณ์ระบุ ที่ประชุมบอร์ด มีมติกำหนด การพิจารณาวาระการรวมธุรกิจระหว่างทรูและดีแทค ในวันที่ 20 ต.ค.นี้ ซึ่งเป็นการนัดประชุมวาระพิเศษ เนื่องจากเห็นควรรอ รายงานผลการศึกษาจากที่ปรึกษาอิสระจากต่างประเทศ SCF Associates เกี่ยวกับผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่จะส่งมาให้สำนักงาน กสทช. ในวันที่ 14 ต.ค. เพื่อมาเป็นข้อมูลในการพิจารณา คาดว่าจะได้ข้อยุติเรื่องดังกล่าววันที่ 20 ต.ค.นี้
นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ที่ปรึกษาประธานบอร์ด กสทช., นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ กล่าวว่า คิดว่าบอร์ดจะจบเรื่องนี้ในวันที่ 20 ต.ค. หลังข้อมูลชุดสุดท้ายส่งถึงมือในวันที่ 14 ต.ค. ก็จะไม่มีเหตุผลใดที่จะยืดเยื้ออีกต่อไป เพราะถือว่าศึกษารอบด้านหมดแล้ว หากจะให้วิเคราะห์แนวทางมติบอร์ด มองว่าประเด็นแรก บอร์ดน่าจะลงมติว่ามีอำนาจในการอนุญาตให้ควบรวมหรือไม่ หากไม่มีอำนาจก็ต้องปล่อยให้ควบรวมโดยกำหนดมาตรการ ซึ่งประเมินจากผลกระทบจากการควบรวม กระทบมากก็อาจต้องกำหนด มาตรการด้านโครงสร้างที่เข้มข้น นอกเหนือจากมาตรการด้านพฤติกรรม เช่นการควบคุมราคาขาย หากบอร์ดลงมติว่ามีอำนาจ ก็ต้องพิจารณาว่าจะให้ควบรวมหรือไม่ หลักในการพิจารณาน่าจะอยู่ที่ว่า หากให้ควบรวมแล้วสามารถกำหนดมาตรการ เพื่อลดผลกระทบแง่ลบได้หรือไม่ หากผลกระทบเกินกว่าจะกำหนดมาตรการได้ ก็อาจไม่อนุญาตให้ควบรวม
“การตัดสินใจของบอร์ดครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนภูมิทัศน์การแข่งขันของธุรกิจ เครือข่ายมือถือ บอร์ดย่อมมีความกดดัน แต่ที่กดดันที่สุดก็คือการหลีกเลี่ยงการถูกฟ้อง จึงต้องทำให้รอบคอบที่สุด”.