น.ส.กัลยา ลีวงศ์เจริญ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา (ส่วนที่ 2) ซึ่งรับผิดชอบตลาดไต้หวัน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังไต้หวัน ได้ประกาศเปิดการไต่สวนการทุ่มตลาด (เอดี) สินค้ากระจกโฟลต ที่นำเข้าจากไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยหากไต่สวนแล้ว พบว่า ผู้ผลิตสินค้าของไต้หวันได้รับความเสียหายจากการทุ่มตลาดจริง กระทรวงหารคลังจะเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดกับสินค้าที่นำเข้าจากทั้ง 3 ประเทศต่อไป ทั้งนี้ ในเบื้องต้นกระทรวงการคลังไต้หวัน เห็นว่ามีความเป็นไปได้ ที่จะมีการทุ่มตลาด และก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ประกอบการในไต้หวัน จนทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันทางการตลาด โดยประมาณการว่า สินค้าจากมาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย มีอัตราส่วนในการทุ่มตลาดที่ 53.20%, 168.90% และ 137.98% ตามลำดับ
“หลังจากนี้ กระทรวงเศรษฐกิจจะตรวจสอบว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นจริงหรือไม่ พร้อมรายงานผลการตรวจสอบขั้นต้นภายในเวลา 40 วัน หากมีความเสียหายเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการในไต้หวันจริง กระทรวงการคลังจะตัดสินว่าจะเก็บภาษีเอดีในอัตราใดภายในเวลา 70 วัน โดยในช่วงนี้ผู้ผลิต ผู้ส่งออก ผู้นำเข้า และตัวแทนจำหน่ายจะต้องจัดส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการคลังไต้หวันภายในเวลา 20 วัน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาตัดสิน”
สำหรับสินค้าที่ถูกเปิดไต่สวนครั้งนี้ คือ แผ่นกระจกเรียบแบบใสและสีที่ผลิตด้วยวิธี Float ซึ่งมีความหนาระหว่าง 1.1-19 มิลลิเมตร (มม.) ไม่จำกัดความยาวและความกว้าง ไม่มีเส้นโลหะ ไม่มีชั้นสะท้อนหรือดึงดูดแสง ไม่ได้ผ่านการแปรรูปด้วยวิธีอื่นใด นำมาใช้งานได้ทันที ภายใต้ 2 พิกัดศุลกากร คือ 70052990107 และ 70052100006
น.ส.กัลยากล่าวต่อว่า ในปี 64 ไต้หวันถือเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญลำดับที่ 3 และลำดับที่ 8 สำหรับสินค้าทั้ง 2 พิกัด โดยสินค้าไทยครองสัดส่วน 6.30% และ 3.16% ของมูลค่าการส่งออกของสินค้าดังกล่าวของไทยไปโลกตามลำดับ หากรัฐบาลไต้หวันเก็บภาษีเอดีจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกมายังไต้หวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.