ททท. เผยเที่ยวปลอดโควิด แมสก์ยังสำคัญ ชี้คนเที่ยวส่วนตัวมากขึ้น ไม่เน้นแออัด ขณะที่ผู้ประกอบการเอง ต้องปรับตัว ส่วนต่างชาติแห่เข้าไทยทะลัก 10 วัน 3 แสนคน ส่งสัญญาณท่องเที่ยวเริ่มดีขึ้น
เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านดิจิทัล วิจัย และพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวในรายการ "Covid Forum ที่นี่มีคำตอบ" จัดโดยกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ร่วมกับสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ ถึงประเด็น "ท่องเที่ยวอย่างไรให้ห่างไกลโควิด-19" ว่า ช่วงการระบาดโควิด ไทยสูญเสียรายได้ด้านการท่องเที่ยวกว่า 90% จากนักท่องเที่ยวปีละกว่า 40 ล้านคน เหลือเพียง 4 แสนคน แต่หลังการระบาดโควิดมีแนวโน้มลดลง ทำให้มีการท่องเที่ยวมากขึ้นตามแนวคิดว่า "เที่ยวให้หายแค้น" โดยมุ่งหวังให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวฟื้นตัว ท่ามกลางการผ่อนคลายมาตรการเปิดประเทศที่ดำเนินไปอย่างมีขั้นตอนสอดคล้องกับสถานการณ์ หลายสถานประกอบการกลับมาเปิดให้บริการ โดยที่ผ่านมา ททท.ได้พยายาม Up และ Re Skill ให้ผู้ประกอบการทราบถึงพฤติกรรมนักท่องเที่ยวหลังโควิด เช่น การใส่ใจเรื่องสุขภาพ มาตรการความปลอดภัย การสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ ไปจนถึงด้านเทคโนโลยีที่ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่เพื่อปรับตัว และเดินทางไปสู่ Next normal ที่เป็นขั้นกว่าของการใช้ชีวิตคู่โควิดต่อไป
นอกจากนี้ ต่อไปการท่องเที่ยวจะเป็นลักษณะดิจิทัลทัวร์ริซึ่ม ใช้ระบบออนไลน์เป็นหลัก นำเทคโนโลยีมาช่วย เช่น การจองคิวผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อเข้าอุทยานต่างๆ เพราะเรายังต้องระวังโรคระบาดอยู่ พร้อมกับการให้ความรู้ท่องเที่ยวแบบรับผิดชอบ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
นายนิธี กล่าวต่อว่า สำหรับโควิดทำให้การท่องเที่ยวได้พัฒนามาตรฐานใหม่คือ SHA และ SHA Plus ภายใต้การกำกับจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อสถานบริการมีความปลอดภัยด้านสุขภาพมากขึ้น ทั้งนี้ หลังจากที่มีการเปิดประเทศมากขึ้นเราจึงพัฒนามาตรฐาน SHA Extra Plus ที่สถานประกอบการต้องมีโรงพยาบาลคู่สัญญา กรณีรับและส่งต่อผู้ติดเชื้อโควิดด้วย
นายนิธี กล่าวถึงเอกสารเพื่อประกอบการเดินทางเข้าประเทศ ได้แก่ ไทยแลนด์พาส(Thailand Pass) วัคซีนพาสปอร์ต ประกันสุขภาพ และผลการตรวจหาเชื้อโควิดด้วย ATK ว่า เมื่อมีการผ่อนคลายมากขึ้นก็จะเหลือเพียงพาสปอร์ตและวัคซีน ซึ่งก็จะการปรับแนวทางการใช้ไทยแลนด์พาสที่มากขึ้น เช่น การกรอกข้อมูลล่วงหน้าเพื่ออำนวยความสะดวก ขณะเดียวกัน คนไทยที่จะเดินทางไปต่างประเทศต้องศึกษาข้อมูลประเทศปลายทางด้วย ว่าจะต้องมีเอกสารใดเพื่อประกอบการเดินทาง อย่างไรก็ตาม หลังจากไทยประกาศเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. ก็มีคนลงทะเบียนไทยแลนด์พาสกว่า 3 แสนคน โดมีการเดินทางเข้าประเทศเฉลี่ยวันละ 1 หมื่นคน หากมีการเปิดสายการบินเพิ่ม คาดว่าจะมีคนเดินทางมากยิ่งขึ้นไป
ด้าน พญ.พิมพ์พรรณ พิสุทธิ์ศาล อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์เขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การประเมินความเสี่ยงของผู้เดินทางทั้งภายในและนอกประเทศ จะไม่แตกต่างกัน คือ 1.ปัจจัยเสี่ยงบุคคล ประกอบด้วยอายุ โรคประจำตัว ความเสี่ยงติดเชื้อหรือการเกิดปัญหาสุขภาพที่รุนแรงมากกว่าคนอื่น 2.ลักษณะการท่องเที่ยวและการเดินทาง เพื่อประเมินความสี่ยงให้เหมาะสมกับแต่ละคน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทุกคนอยากท่องเที่ยว แต่ต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น แม้โควิดจะเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) แต่การไม่ติดเชื้อจะดีที่สุด เพราะไม่มีใครอยากเสี่ยงอาการลองโควิด ทั้งนี้ คนไทยสามารถขอใบรับรองวัคซีนผ่านแอปฯ หมอพร้อม ซึ่งจะเป็นรูปแบบออนไลน์แต่ใช้ได้ทั้งในและนอกประเทศ เพราะผ่านการยืนยันตัวตนด้วยการกรอกข้อมูลในหมอพร้อมแล้ว
อีกทั้ง ลักษณะการท่องเที่ยวตอนนี้จะเปลี่ยนไป จากที่เป็นกลุ่มใหญ่ๆ ก็จะเริ่มกลุ่มเล็ก และส่วนตัวมากขึ้น โดยข้อแนะนำคือ เมื่อกลับจากเที่ยวแล้วก็ควรตรวจหาเชื้อด้วย ATK ระหว่าง 3-5 วัน หรือเมื่อมีอาการ หรือตรวจด้วย RT-PCR ด้วย
พญ.พิมพ์พรรณ กล่าวต่อว่า การป้องกันสุขภาพของตนเอง ไม่ว่าจะการท่องเที่ยวต่างประเทศหรือใช้ชีวิตประจำวันในประเทศ ก็จะเหมือนกันคือ การป้องกันติดเชื้อ เลี่ยงการเข้าที่คนแออัด สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างและล้างมือ โดยเฉพาะการติดเชื้อโควิดเมื่ออยู่ต่างประเทศ อาจส่งผลเรื่องการเดินทางกลับประเทศได้ รวมถึงมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ฉะนั้นประกันสุขภาพการเดินทางมีความจำเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ การดูแลตนเองหากติดเชื้อเมื่ออยู่ต่างประเทศ ต้องดูมาตรการกักตัวในแต่ละประเทศ อย่างเช่นไทยยังต้องกักตัว 10 วัน ก่อนออกเดินทางได้.