นายกฯบิ๊กตู่ให้บีโอไอกลับไปทบทวนมาตรการส่งเสริมการลงทุน รับมือ “โออีซีดี” เตรียมเก็บภาษีเพิ่มบริษัทข้ามชาติ เพื่อจูงใจให้ต่างชาติยังเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ว่า ได้สั่งให้บีโอไอกลับไปทบทวนมาตรการส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทยใหม่อีกครั้ง เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับกติกาใหม่ด้านการจัดเก็บภาษีขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี)
สำหรับกรณีดังกล่าว เป็นผลมาจากเมื่อช่วงปลายปี 2564 ทางโออีซีดีได้มีการประกาศบรรลุข้อตกลงเรื่องอัตราการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำ (Global Minimum Tax Rate) จากบริษัทข้ามชาติทั่วโลกในอัตรา 15% สำหรับการลงทุนในประเทศต่างๆ
โดยหากมีการเสียภาษีในประเทศที่มีบริษัทในเครือไปทำธุรกิจในอัตราต่ำกว่าอัตราภาษีขั้นต่ำ ประเทศที่บริษัทแม่ตั้งอยู่สามารถเก็บภาษีได้เพิ่มเติมจากส่วนต่างระหว่างอัตราภาษีที่เสียและอัตราภาษีขั้นต่ำ และขอบเขตการจัดเก็บภาษีนั้น บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่จะต้องมีรายได้รวมตั้งแต่ 750 ล้านยูโรขึ้นไป
“ในอนาคตก็ให้ไปทบทวนกฎกติกาภาษีของโออีซีดี โดยให้ไปหารือกันต่อ เพราะตอนนี้หลายประเทศกำลังดูเรื่องของการเสียภาษี 15% แต่เป็นเฉพาะบริษัทที่มีมูลค่าการค้าสูง เรื่องนี้เป็นหลักการของโออีซีดีที่ไทยต้องเร่งศึกษาและหารือร่วมกัน เพราะหลายประเทศในภูมิภาคเราก็ติดตามกันอยู่” นายกรัฐมนตรีระบุ
น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า บีโอไอได้นำเสนอความคืบหน้าของข้อตกลงโออีซีดี ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิทธิประโยชน์ของบีโอไอให้กับที่ประชุมรับทราบในวันนี้ว่าจะส่งผลกระทบอย่างไรกับการลงทุนของประเทศไทย ซึ่งกรณีดังกล่าวจำเป็นต้องศึกษารายละเอียดว่ามีผลกระทบกับแผนดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายมากแค่ไหน
“ตอนนี้ต้องศึกษารายละเอียดว่าจะออกมาตรการอะไรใหม่มาทดแทนหรือไม่ เช่นต้องดูปัจจัยอื่นๆเพิ่มเติมนอกเหนือจากเรื่องของภาษี เช่น การให้สิทธิประโยชน์กับคน หรือโครงสร้างพื้นฐาน เรื่องนี้จะต้องแสวงหาเพื่อให้ไทยยังคงเป็นประเทศที่น่าดึงดูดใจในการลงทุนอยู่”
น.ส.ดวงใจ กล่าวว่า เบื้องต้นกรณีดังกล่าวยังไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับการลงทุนของไทยมาก เพราะตามข้อตกลงจะส่งผลกระทบกับบริษัทที่มียอดขายทั่วโลกอย่างน้อย 750 ล้านยูโรขึ้นไป แต่บริษัทในไทยทั้งหมดยอดขายไม่ถึงอยู่แล้ว ส่วนต่างชาติจำนวนมากก็ไม่เข้าข่าย
แต่อย่างไรก็ดี บีโอไอก็ต้องมาศึกษารายละเอียดในกรณีที่ไทยต้องการดึงบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ว่าจะมีผลกระทบอย่างไรต่อไป เพราะปัจจุบันสิทธิประโยชน์ของไทยได้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้ค่อนข้างสูง หากบริษัทขนาดใหญ่ที่เข้าข่ายเสียภาษีไม่ถึง 15% ก็ต้องจ่ายส่วนต่างในประเทศต้นทางด้วย
“ที่ผ่านมาเราอยากดึงบริษัทไฮเทค S-Curve เข้ามาลงทุนในไทย และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้ แต่ถ้าบริษัทเข้ามาลงทุนเสร็จแล้วจ่ายไม่ถึง 15% เขาจะต้องจ่ายส่วนต่างไปยังบริษัทแม่ ทั้งที่บีโอไอยกเว้นให้ ดังนั้นจึงต้องหาเครื่องมืออื่นๆให้เขายังสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอยู่ และต่อไปสิทธิประโยชน์ด้านการยกเว้นเงินได้อาจไม่ได้ผล ก็ต้องมาดูมาตรการอื่นๆ แทน ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นที่ทุกประเทศต้องศึกษา”
ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อรองรับการจัดเก็บภาษีของโออีซีดี โดยขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเตรียมการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งผลดีและผลเสีย เพื่อปรับการดำเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ทั้งนี้ ยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนการลงทุนทั้งจากต่างประเทศและการลงทุนในประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนได้อย่างสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศในอนาคต โดยมุ่งให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ.