ดึงเงินลงทุนเข้าไทย 1 ล้านล้านบาท “หม่อมปืน” ผู้แทนการค้าตั้งเป้าดันจีดีพี

Economics

Thailand Econ

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

ดึงเงินลงทุนเข้าไทย 1 ล้านล้านบาท “หม่อมปืน” ผู้แทนการค้าตั้งเป้าดันจีดีพี

Date Time: 11 ก.พ. 2565 06:22 น.

Summary

  • ผู้แทนการค้าไทยคนใหม่ตั้งเป้าดึงเงินลงทุนเข้าไทย 1 ล้านล้านบาทใน 2 ปี ช่วยดันจีดีพีเพิ่มปีละ 3% จาก 3 อุตสาหกรรมหลัก ที่มีสัดส่วน 50% ของจีดีพี

Latest

ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ย้ำชัด ไทยไม่ลด "ดอกเบี้ย" ตามเฟด ชี้ "บาทแข็งค่า" ไม่ทุบทิศทางส่งออกไทย

ผู้แทนการค้าไทยคนใหม่ตั้งเป้าดึงเงินลงทุนเข้าไทย 1 ล้านล้านบาทใน 2 ปี ช่วยดันจีดีพีเพิ่มปีละ 3% จาก 3 อุตสาหกรรมหลัก ที่มีสัดส่วน 50% ของจีดีพี ได้แก่ รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน ท่องเที่ยว

ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ผู้แทนการค้าไทยคนใหม่ เปิดเผยว่า ตั้งเป้าช่วง 2 ปีจากนี้ไปจะมีเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทย 1 ล้านล้านบาท ช่วยผลักดันผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้นปีละ 3% ซึ่งเป็นผลจากการปรับนโยบายส่งเสริมการลงทุน และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้าสู่ประเทศ ไทย ที่ทำมาตลอด 1 ปี ในฐานะหัวหน้าทีมปฏิบัติการเชิงรุกดึงดูดการลงทุนในประเทศไทย โดยต่อจากนี้จะพุ่งเป้าส่งเสริมการลงทุนใน 3 สาขาสำคัญ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 50% ของจีดีพี ได้แก่ รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน ท่องเที่ยว

“ส่วนปัญหาทางการเมืองขณะนี้จะทำให้เป็นไปตามเป้าหมายได้หรือไม่ ผมไม่กังวล ผมมาช่วยประเทศ มีงานทำก็ทำไป ถ้ามีการยุบสภาเมื่อใดผมก็เลิก ที่สละงานภาคเอกชนมาทำตรงนี้ก็ต้องการมาช่วยประเทศเท่านั้นเอง เพราะถ้าปล่อยจีดีพีประเทศไทยหายไป 50% จะไปเอาคืนได้จากไหน มีแต่เจ๊งหมด”

สำหรับเป้าหมายเงินลงทุน 1 ล้านล้านบาท จะมาจากการลงทุนปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมรถยนต์ใช้น้ำมัน มาใช้พลังงานไฟฟ้า (อีวี) ของค่ายรถยนต์ต่างๆ ในปี 2566-2567 วงเงิน 360,000-400,000 ล้านบาท การดึงอุตสาหกรรมต้นน้ำของอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาในไทย 400,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือมาจากเงินลงทุนจากชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงที่รัฐบาลวางเงื่อนไขการให้วีซ่าอยู่ในไทยได้ 10 ปีและได้ใบอนุญาตทำงาน จะต้องมีเงินลงทุนในไทยด้วย ดังนั้น ช่วงเวลาจากนี้ไปจะทำงานร่วมกับสถานทูตของประเทศต่างๆ รวมถึงบริษัทเอกชนของไทยที่มีเครือข่ายกับต่างประเทศ และบริษัทต่างชาติ เพื่อคัดกรองบุคคลให้ได้ตามเป้าหมาย

ผู้แทนการค้าไทย กล่าวว่า ร่างกฎกระทรวงมหาดไทย เรื่องการอนุญาตให้ชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นกรณีพิเศษ เพื่อพำนักระยะยาว หรือ Long-term Resident Visa (วีซ่าแอลทีอาร์) สำหรับบุคคล 4 กลุ่ม ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบไปแล้วคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ในอีก 2 เดือน จากนี้ไปต้องเร่งทำการตลาดในบุคคลกลุ่มนี้ แต่จะเริ่มเห็นการเดินทางเข้ามาประเทศไทยชัดเจนในช่วงปลายปี 2565 โดยมีเป้าหมายให้คนกลุ่มนี้เข้ามาทั้งสิ้น 1 ล้านคน เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีชาวต่างชาติอยู่ในไทยแล้ว 400,000 คน แต่กลุ่มใหม่ที่เป็นแอลทีอาร์จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าประมาณ 1 ล้านบาทต่อคนต่อปี เมื่อเข้ามาเต็มเป้าหมาย 1 ล้านคน จะมีการใช้จ่ายในไทยจากคนกลุ่มนี้ปีละ 1 ล้านล้านบาท

“ถามว่าการทำงานที่ผ่านมาพอใจไหม ผมบอกว่าไม่ 100% อยากได้เร็วกว่านี้ แต่ก็เข้าใจการทำงานที่ขอ 10 ได้ 5 โดยเฉพาะเรื่องการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติที่ยังไม่ผ่านความเห็นชอบ เพราะเป็นเรื่องทางการเมือง คนไทยยังไม่ยอมรับกัน ก็ต้องช่วยกันทำความเข้าใจกับคนไทยว่า เรามีประชากร 60 ล้านคน ต้องการชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้ามา 1 ล้านคน แล้วเขาเข้ามาแล้วจะขนหิน ดินทรายไปได้ซะเมื่อไหร่”

ม.ล.ชโยทิตกล่าวต่อไปว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์อีวีในไทยถือว่ามีความคืบหน้าเพราะในเร็วๆนี้จะมีการนำเสนอมาตรการส่งเสริมการผลิตรถยนต์อีวีในไทยเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ในเร็วๆนี้ ขณะที่การหารือกับทุกค่ายรถยนต์ที่ลงทุนในไทยเห็นชอบที่จะผลิตรถยนต์อีวี และล่าสุดที่รัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม (เมติ) ของญี่ปุ่นได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี ก็ยืนยันว่าญี่ปุ่นจะใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์อีวีแน่นอน โดยตอนนี้ฟ็อกซ์คอนน์ กรุ๊ป ได้เข้ามาร่วมทุนกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แล้ว ในอนาคตอาจเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์อัจฉริยะให้กับค่ายแอปเปิลก็ได้ ส่วนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยมีโอกาสพัฒนายกระดับเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าได้ด้วย

นอกจากนี้ยังต้องให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต หรือ S-Curve ของไทย ได้แก่ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมยา และนายกรัฐมนตรีต้องการผลักดันซอฟต์เพาเวอร์ของไทยเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางเหมือนกับประเทศเกาหลีใต้.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ