จ่อกู้เพิ่ม เงินไม่พอถึงสิ้นปี ภารกิจเร่งด่วนหลังศาลเห็นชอบแผนฟื้นฟูบินไทย

“บิ๊กตู่” แสดงความยินดี “ศาลล้มละลายกลาง” เห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการการบินไทยแล้ว “ชาญศิลป์” จ่อลาออกจากประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แต่จะยังอยู่ในฐานะหนึ่งในผู้บริหารแผนประกาศมั่นใจนำบินไทยออกจากแผนฟื้นฟูก่อน 5 ปี ขณะที่ซีเอฟโอมองภารกิจเร่งด่วนคือ หาเงินมาอุดรูรั่ว รับสภาพคล่องที่มีอยู่ได้ไม่ถึงสิ้นปี เล็งขายทรัพย์สินเฉพาะหน้า–เอาตึกอาคารสำนักงานใหญ่ มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาทค้ำเงินกู้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ที่ผ่านมาศาลล้มละลายกลาง ได้มีคำสั่งเห็นชอบขอฟื้นฟูกิจการคดีดำ ฟฟ.20/2563 ที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ รายงานเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2564 ว่า ที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติพิเศษยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการ และแผนที่มีการแก้ไข นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังจากที่ศาลล้มละลายกลางได้เห็นชอบแผนฟื้นฟูการบินไทยว่า หลังจากนี้จะเป็นหน้าที่ของผู้บริหารแผนฟื้นฟู ซึ่งผู้บริหารแผนประกอบไปด้วย นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์, นายพรชัย ฐีระเวช, นายศิริ จิระ-พงษ์พันธ์, นายไกรสร บารมีอวยชัย และนาย ชาญศิลป์ ตรีนุชกร เป็นผู้บริหารแผน ซึ่งจะมีอำนาจหน้าที่ในการบริหารธุรกิจของบริษัท และดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการต่อไป และคณะกรรมการเจ้าหนี้ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ กระทรวงการคลัง ธนาคารออมสิน สหกรณ์ออมทรัพย์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำกัด ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จำกัด บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และสหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จำกัด

“หลังจากแผนฟื้นฟูการบินไทยผ่านศาลฯ ตามขั้นตอน ก็เป็นหน้าที่ของผู้บริหารแผนที่จะดำเนินการต่อไป ซึ่งตามขั้นตอนจะมีเวลาฟื้นฟูการบินไทยในเวลา 5 ปี และสามารถต่อได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 1 ปี ดังนั้น ผมจะพยายามบริหารแผนฟื้นฟูให้สำเร็จก่อน 5 ปี และก่อนที่จะออกจากแผนฟื้นฟูการบินไทย 2 ปี จะต้องทำกำไรก่อนหักภาษี และค่าใช้จ่าย (Ebida) เฉลี่ยปีละ 20,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ในขณะนี้การบินไทยต้องการเงินใหม่เข้ามาเสริมสภาพคล่องการบินไทยอย่างเร่งด่วน”

นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงินและการบัญชี การบินไทย กล่าวยอมรับว่า แม้ว่าแผนฟื้นฟูจะผ่านความเห็นชอบแล้ว แต่การบินไทยยังคงต้องการสภาพคล่องเติมเข้ามาอย่างเร่งด่วน แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีการปรับลดพนักงาน ปรับโครงสร้างองค์กรไปแล้วก็ตาม เนื่องจากในปัจจุบันสภาพคล่องที่มีอยู่จะอยู่ต่อได้ไม่ถึงสิ้นปี 64 นี้แน่นอน ดังนั้น ทางฝ่ายผู้บริหารแผนฟื้นฟู และผู้บริหารจะต้องหาเงินมาเสริมสภาพคล่องเข้ามาซึ่งตามแผนการบินไทยจะต้องใช้เงินกว่า 50,000 ล้านบาท ในช่วง 1-3 ปีนี้

“เงินที่จะมาเสริมสภาพคล่องสามารถที่จะทยอยมาได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินก้อนทีเดียวตามแผน โดยจะแบ่งเป็นจากภาครัฐ 25,000 ล้านบาท และจากเอกชนจำนวน 25,000 ล้านบาท แต่หากยังไม่ได้เงินในเวลานี้ การบินไทยก็มีแนว ทางคือ กู้เงินระยะสั้นมาก่อนโดยใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่มาค้ำประกัน หรือขายทรัพย์สินระดับรองที่ไม่ได้ใช้ให้เกิดประโยชน์มาเป็นเงินเสริมสภาพคล่อง ซึ่งแนวทางน่าจะเป็นการกู้แล้วเอาทรัพย์สินค้ำประกัน โดยจากการพิจารณาในขณะนี้จะพบว่า ที่ตั้งอาคารสำนักงานใหญ่การ–บินไทย ตั้งอยู่ในทำเลทองและมีพื้นที่มากมูลค่ารวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งก็ถือเป็นอีกหนึ่งแนวทาง นอกจากพื้นที่ดังกล่าว การบินไทยยังมีอาคารสำนักงานที่สีลม หลานหลวง และ ดอนเมือง รวมถึงสำนักงานที่อยู่ต่างประเทศ”

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ภายหลังจากที่ศาลล้มละลายกลางเห็นชอบแผนฟื้นฟูการบินไทย และนายชาญศิลป์ แถลงข่าวถึงแผนฟื้นฟู และมีการประชุมบอร์ดการบินไทยต่อจากนั้น โดยมีการคาดการณ์ว่า นายชาญศิลป์จะประกาศลาออกจากตำแหน่งรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารการบินไทย แต่ยังคงดำรงตำแหน่ง 1 ใน ผู้บริหารแผนฟื้นฟูการบินไทยต่อไป

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ได้รับทราบกรณีศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งเห็นชอบแผนฟื้นฟู กิจการของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จึงขอแสดงความยินดี และขอบคุณทุกท่าน รวมถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขอให้ร่วมกันเดินหน้าฟื้นฟูการบินไทยให้ประสบความสำเร็จ.