นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ทตอ.) ที่มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน เมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้มีมติให้ใช้อำนาจตามมาตรา 7 ภายใต้ พ.ร.บ.การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน พ.ศ.2562 เพื่อประโยชน์สาธารณะ ยกเว้นการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) สินค้าแผ่นรีดเย็นชุบหรือเคลือบด้วยโลหะเจือของอะลูมิเนียมและสังกะสีแบบจุ่มร้อนแล้วทาสี (เหล็กเมทัลชีท หรือพีพีจีแอล) ที่นำเข้าจากจีนและเกาหลีเป็นการชั่วคราวเป็นระยะเวลา 6 เดือน สำหรับกรณีการนำเข้ามาผลิตแล้วส่งออก เพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออก ไม่ให้ได้รับความเดือดร้อน จากต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น
“ปัจจุบันราคาเหล็กในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น และปริมาณเหล็กในตลาดโลกลดลง จากการที่จีนจำกัดการส่งออกและลดกำลังการผลิต แต่ยังมีความต้องการใช้เหล็กอย่างมากจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หากไทยยังคงเรียกเก็บอากรเอดีจะยิ่งทำให้ต้นทุนเหล็กเมทัลชีทสูงขึ้น ที่ประชุม ทตอ. จึงมีมติให้ชะลอการเก็บอากรออกไปก่อน และจะเก็บภาษีที่ 0% เป็นระยะเวลา 6 เดือน”
นอกจากนี้ ทตอ.ได้มอบหมายให้กรมติดตามสถานการณ์การนำเข้าอย่างใกล้ชิด และให้หารือกับผู้ผลิตในประเทศ ผู้นำเข้า และผู้ใช้ เพื่อหาข้อสรุปร่วมกันว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป หลังจากพ้นระยะเวลา 6 เดือนแล้ว โดยมีทางออก 2 ทาง คือ ให้กลับมาเรียกเก็บอากรเอดีในอัตราเดิมทันที หรือถ้าสถานการณ์ราคาเหล็กในตลาดโลกยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ก็ให้ยืดระยะเวลาการยกเว้นเก็บอากรเอดีออกไปอีก
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้กรมได้เปิดไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าดังกล่าวที่จีน และเกาหลีใต้ พบมีการทุ่มตลาดจริง และผู้ผลิตไทยเสียหายจริง จึงประกาศเรียกเก็บอากรเอดีเหล็กเมทัลชีทจากทุกบริษัทของจีนที่ส่งออกมาไทยในอัตรา 40.77% ของราคาซีไอเอฟ และเรียกเก็บจากทุกบริษัทของเกาหลีใต้ในอัตรา 33.62% ยกเว้น 2 บริษัทเรียกเก็บที่ 4.27% และ 7%.