แบงก์ชาติ เพิ่งเปิดเผยรายงาน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เดือน ก.พ. ที่มีมติเอกฉันท์ ให้คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ 0.50% ต่อปี เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยระบุว่า “มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยเผชิญกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น ในระยะสั้น ขึ้นอยู่กับการควบคุมการระบาดของโควิด–19 ระลอกใหม่ ระยะปานกลาง ขึ้นอยู่กับ 1.การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.การจัดหาและกระจายวัคซีนป้องกันโควิด–19 3.ความเพียงพอและต่อเนื่องของแรงสนับสนุนจากภาครัฐ 4.ภาวะตลาดแรงงานที่เปราะบางมากขึ้นหลังการระบาดระลอกใหม่”
ความเห็นของ กนง. สอดคล้องกับคาดการณ์ของ สภาพัฒน์ที่แถลงเมื่อวันจันทร์ เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ตํ่าเพียง 2.5-3.5% จากปี 2563 ที่ติดลบไป 6.1%
สะท้อนถึง ความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ ของ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้ไทยไม่สามารถแข่งกับประเทศเพื่อนบ้านได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศเวียดนาม ที่เพิ่งพลิกฟื้นประเทศได้ไม่กี่สิบปี แต่กำลังจะแซงหน้าไทยเกือบทุกด้าน จีดีพีเวียดนามปี 63 นอกจากไม่ติดลบแล้วยังขยายตัว 2.9% สูงกว่าการขยายตัวขั้นตํ่าของจีดีพีไทยปีนี้ที่สภาพัฒน์คาดว่าจะขยายตัวขั้นตํ่า 2.5% เสียอีก ส่วนจีดีพีปี 2564 ของเวียดนาม คาดว่าจะขยายตัว 6.2% เพียงสองปีจีดีพีเวียดนามทิ้งห่างไทยไปถึง 12.2%
ผลงานรัฐบาลที่ไม่เอาไหนแบบนี้ คนไทยทั้งประเทศที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ควรใช้สิทธิไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้เหมือนกัน หวังว่า การเลือกตั้งเทศบาล ที่จะมีขึ้นทั่วประเทศในวันที่ 28 มีนาคม ประชาชนที่ได้รับผลกระทบทั่วประเทศ จะใช้อำนาจการเลือกตั้งสั่งสอนพรรครัฐบาลเสียบ้าง เพื่อแสดงอำนาจของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย
การที่เศรษฐกิจไทยปีนี้ยังมีความเสี่ยงสูง ขณะที่ทั่วโลกฟื้นตัวกันหมด สหรัฐฯ กลับมาขยายตัว 4.8% ยูโรโซน กลับมาขยายตัว 4.3% จีน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 7.7% เพื่อนบ้านอาเซียนล้วนกลับมาขยายตัวดีกว่าไทยหมด Moody’s Analytics วิเคราะห์ว่า เป็นเพราะการฉีดวัคซีนของไทยที่ล่าช้า ทำให้การท่องเที่ยวฟื้นตัวช้า และยังเกิด “ภัยแล้ง” ซ้ำซาก คาดว่าประชากรไทยครึ่งหนึ่งจะได้รับการฉีดวัคซีนในสิ้นปีนี้ และ 75% ภายในครึ่งปีแรกของปี 2565 โดย มูดี้ส์ ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้เพียง 2.8% จากแรงหนุนของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกที่ฟื้นตัว ผนวกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
ผมเขียนติงรัฐบาลไปหลายครั้ง ความล่าช้าและความไร้ประสิทธิภาพในการจัดหาวัคซีน จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมาก แต่รัฐบาลก็เอาสีข้างเข้าถู แก้ตัวนํ้าขุ่นๆไปวันๆ การที่รัฐบาลจัดหาวัคซีนล่าช้า ลอตใหญ่กว่าจะมาถึงก็เดือนมิถุนายน ต้องรอไปอีก 4 เดือน วัคซีนที่ได้ก็ไม่เพียงพอ 63 ล้านโดส ฉีดได้แค่ 31.5 ล้านคน ไม่ถึงครึ่งประเทศ ขณะที่ประเทศอื่นเขาจัดหาวัคซีนกันเกิน 100% ของประชากร จึงส่งผลให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า การท่องเที่ยวก็ฟื้นตัวช้า ประเทศอื่นเขาฉีดวัคซีนกันหมดแล้ว แต่ประเทศไทยยังฉีดไม่ถึงครึ่งประเทศ แล้วจะมีนักท่องเที่ยวที่ไหนเสี่ยงมาเที่ยว
The Economist lntelligence Unit ได้แบ่งประเทศที่สามารถฉีดวัคซีนให้ประชากรส่วนใหญ่เป็น 4 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ฉีดวัคซีนได้ทั่วถึงทุกคนในปลายปี 2564 เช่น สหรัฐฯ ยุโรป กลุ่มที่ 2 ฉีดวัคซีนได้ทั่วถึงในกลางปี 2565 เช่น รัสเซีย ออสเตรเลีย กลุ่มที่ 3 ฉีดวัคซีนได้ทั่วถึงในปลายปี 2565 เช่น จีน อินเดีย ไทย กลุ่มที่ 4 ฉีดวัคซีนได้ทั่วถึงหลังจากปี 2566 เช่น อินโดนีเซีย เมียนมา
ไทยอยู่กลุ่มที่ 3 กว่าจะได้ฉีดวัคซีนครบก็ปลายปี 2565 อีกเกือบ 2 ปี ทำให้คนไทยเสียโอกาส ประเทศไทยเสียโอกาส แล้วจะจ้างรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพแบบนี้มาทำให้คนไทยและประเทศไทยเสียโอกาสทำไม?
“ลม เปลี่ยนทิศ”