ส่งออกปี 2563 ติดลบ 6.01% ธ.ค.เพิ่ม 4.7% สูงสุดรอบ 22 เดือน

Economics

Thailand Econ

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

ส่งออกปี 2563 ติดลบ 6.01% ธ.ค.เพิ่ม 4.7% สูงสุดรอบ 22 เดือน

Date Time: 23 ม.ค. 2564 05:30 น.

Summary

  • พาณิชย์เผยส่งออก ธ.ค.63 เพิ่ม 4.71% มูลค่า 20,082.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ พลิกบวกครั้งแรกในรอบ 8 เดือน และโตสูงสุดรอบ 22 เดือน ทำยอดรวมทั้งปี 63 ลบแค่ 6.01%

Latest

ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ย้ำชัด ไทยไม่ลด "ดอกเบี้ย" ตามเฟด ชี้ "บาทแข็งค่า" ไม่ทุบทิศทางส่งออกไทย

พาณิชย์เผยส่งออก ธ.ค.63 เพิ่ม 4.71% มูลค่า 20,082.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ พลิกบวกครั้งแรกในรอบ 8 เดือน และโตสูงสุดรอบ 22 เดือน ทำยอดรวมทั้งปี 63 ลบแค่ 6.01% น้อยกว่าที่คาด เหตุส่งออกไทยเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่กลางปี สินค้า 3 กลุ่มหลัก ยังส่งออกได้ดีต่อเนื่อง ส่วนปี 64 ตั้งเป้าโต 4% แต่อาจลุ้นโตได้ 5%

น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยถึงสถิติการค้าระหว่างประเทศของไทยว่า เดือน ธ.ค.63 การส่งออกมีมูลค่า 20,082.7 ล้าน เหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 4.71% จากเดือน ธ.ค.62 กลับมาเป็นบวกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน และมีอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 22 เดือน นับจากเดือน ก.พ.62 ที่เพิ่มขึ้น 5.65% โดยเมื่อคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 602,803 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.99% แต่มูลค่าส่งออกเดือน ธ.ค.63 ถ้าหักมูลค่า ส่งออกทองคำ น้ำมัน ที่มีความผันผวนด้านราคา และอาวุธออกแล้วจะเพิ่มขึ้นถึง 5.81% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 19,119.2 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 3.62% คิดเป็นเงินบาทมูลค่า 582,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.85% เกินดุลการค้า 963.6 ล้านเหรียญฯ หรือ 20,703 ล้านบาท

ส่วนมูลค่าการส่งออกทั้งปี 63 อยู่ที่ 231,468.4 ล้านเหรียญฯ ลดลง 6.01% จากปี 62 ซึ่งถือว่าทำได้ดีกว่าที่คาดไว้ว่าจะติดลบประมาณ 7% โดยเมื่อคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 7.178 ล้านล้านบาท ลดลง 5.90% การนำเข้า 206,991.9 ล้านเหรียญฯ ลดลง 12.39% คิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 6.495 ล้านล้านบาท ลดลง 12.52% เกินดุลการค้ารวม 24,476.5 ล้านเหรียญฯ หรือ 682,547.2 ล้านบาท

“ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกทั้งปี 63 กลับมาติดลบน้อยลง เป็นผลมาจากการส่งออกของไทยที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 63 เพราะได้รับผลดีจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวขึ้น ทำให้มีการนำเข้าสินค้ามาผลิตเพื่อส่งออกเพิ่มขึ้น ขณะที่สินค้า 3 กลุ่ม หลัก ได้แก่ อาหาร สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อ ยังเป็นกลุ่มเติบโตได้ดี รวมถึงยังมีการฟื้นตัวของสินค้ากลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่กลับมาขยายตัวเป็นบวก ส่วนยานยนต์และชิ้นส่วน ติดลบน้อยลง และเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น”

น.ส.พิมพ์ชนกกล่าวว่า สำหรับการส่งออกในปี 64 กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่าจะขยายตัวเป็นบวก 4% มูลค่า 240,727 ล้านเหรียญฯ หรือมีมูลค่าส่งออกเฉลี่ยต่อเดือนที่ 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ อาจได้ถึง 5% มูลค่ารวม 243,042 ล้านเหรียญฯ หรือ ส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 20,253 ล้านเหรียญฯ เพราะปีนี้มีปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน แม้โควิด-19 จะระบาดอีก แต่มีการล็อกดาวน์แบบจำกัด ทำให้ผลกระทบไม่รุนแรงเหมือนรอบแรก และ ยังได้แรงหนุนจากการกระจายวัคซีนโควิด-19 การกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายประเทศ ทำให้มีความ ต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับนโยบายการค้าสหรัฐฯกลับมายึดกติกาองค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) ช่วยให้ความขัดแย้งจากสงครามการค้าผ่อนคลาย รวมถึงความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) ที่จะบังคับใช้ช่วงครึ่งปีหลัง 64 จะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าของประเทศสมาชิก

ส่วนปัจจัยลบ ยังคงเป็นเรื่องค่าเงินบาทที่อยู่ในทิศทางแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับสกุลเงินของคู่แข่งในภูมิภาค ทำให้การแข่งขันด้านราคายากขึ้น มี ปัญหาอุปสรรคจากการขาดแคลนตู้สินค้า ทำให้มีต้นทุนโลจิสติกส์เพิ่มขึ้น และอุปสรรคในการเจรจาความตกลงการค้า เช่น ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) ที่ไทยยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ ทำให้เสี่ยงที่จะเสียแต้มต่อคู่แข่ง

ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า พอใจกับตัวเลขส่งออกเดือน ธ.ค.63 ที่บวกถึง 4.7% ซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานหนักร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชน สะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์การส่งออก ของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 63 ได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุด มาแล้วโดยต่อเนื่อง นั่นคือในเดือน มิ.ย.ติดลบ 23% พอมาเดือน ก.ค.ลบ 11% เดือน ส.ค.ลบ 7% เดือน ก.ย.เหลือลบ 3% และมาถึงเดือน ธ.ค.กลายเป็นถึง 4.7% แม้จะยังได้รับผลกระทบจากการค้าชายแดนที่ยังลดลง เพราะมีการปิดด่านการค้าหลายแห่ง เพื่อ ป้องกันการระบาดของโควิด-19 จึงทำให้ตัวเลขทั้งปี 63 ติดลบเพียง 6% จากที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ว่าจะลบ 10% ถึงลบ 7% ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของไทยด้วย.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ