นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน ต.ค.ที่ผ่านมาว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการภาคเอกชนห่วงสถานการณ์ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นถึง 8.20% (ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.-16 พ.ย.) สูงเป็นอันดับ 4 เมื่อเทียบกับกลุ่มอาเซียนส่งผลให้ ขีดความสามารถการแข่งขันส่งออกของประเทศไทยลดลงต่อเนื่อง
“เนื่องจากคู่แข่งสำคัญทางการค้าของประเทศไทย เช่น เวียดนาม แข็งค่าเพียง 1.66% เท่านั้น ทำให้สินค้าไทยแพงกว่าประเทศอื่นๆทันที ขณะนี้สถานการณ์เศรษฐกิจค่อยๆปรับตัวดีขึ้น ถ้ายิ่งสถานการณ์ค่าเงินบาทลากยาวออกไปถึงเดือน ม.ค.2564 จะยิ่งทำให้ภาคส่งออกของประเทศสะดุดและกระทบถึงภาคเศรษฐกิจโดยรวมอย่างแน่นอน”
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือน ต.ค.ที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 86.0 เพิ่มขึ้นจากระดับ 85.2 เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา โดยค่าดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 นับตั้งแต่เดือน พ.ค. เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเริ่มเห็นผล รวมทั้งโครงการช้อปดีมีคืนกระตุ้นกำลังซื้อทั้งสินค้าอุปโภค บริโภค และสินค้าคงทน ส่งผลให้ภาคการผลิตมีการฟื้นตัว “โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งเป็นโครงการที่ดีมาก ควรขยาย เนื่องจากเป็นการใช้จ่ายคนละครึ่งส่งผลให้เงินหมุนเวียนในระบบจริงๆ รวมทั้งร้านค้ารายย่อยได้รับเงินอย่างแท้จริง ไม่ใช่แจกเงินสดให้ประชาชนไปครั้งเดียว ทำให้หลายรายไม่นำไปใช้จ่าย”
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน กล่าวถึงเงินบาทแข็งค่าว่าเป็นเรื่องระยะสั้นที่ในช่วงปลายปีต่างชาติจะต้องหาแหล่งพักเงินแสวงหากำไร จึงมีการเคลื่อนย้ายเงินมายังประเทศไทย ซึ่งมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจดี.
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง