คลังยันฐานะการคลังแข็งแกร่ง ชี้ข้อเสนอปรับขึ้น VAT จาก 7% เป็น 9% ลดอำนาจซื้อ และซ้ำเติมประชาชนในยุคโควิด-19 กระทบจีดีพีลด 0.6%
เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 63 ที่ผ่านมา สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับฐานะทางการคลังของรัฐบาลในปัจจุบัน โดยระบุว่า ยังมีความมั่นคงและมีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาล เงินคงคลังในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่เข้มแข็ง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในการบรรเทาผลกระทบและเยียวยาแก่ประชาชนและภาคธุรกิจในช่วงวิกฤติ COVID-19
โดยระดับเงินคงคลังในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการรองรับการเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐ และการดำเนินนโยบายต่างๆ เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในระยะต่อไป อีกทั้ง ภาระหนี้ต่องบประมาณอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ และระดับหนี้สาธารณะยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ
สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นภาษีฐานการบริโภคที่มีความสัมพันธ์กับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ การปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มย่อมส่งผลกระทบต่อการบริโภคของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ
เนื่องจากผลของการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มทำให้ระดับราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อการลดอำนาจการซื้อของประชาชน ซึ่งอาจเป็นการซ้ำเติมประชาชนในภาวะเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19
ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 9% จะทำให้ GDP ลดลงอย่างน้อย -0.6% ต่อปีจากกรณีฐาน อีกทั้งส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าให้ปรับตัวสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะเพิ่มขึ้น 1.5% ต่อปีจากกรณีฐาน
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวจะทำให้เศรษฐกิจไทยที่อยู่ในภาวะชะลอตัวยิ่งหดตัวมากขึ้น ดังนั้น การปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเรื่องสำคัญและละเอียดอ่อนจึงต้องพิจารณารอบด้านและดูช่วงเวลาที่เหมาะสม
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 25 ส.ค.63 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ 7% ต่อไปอีก 1 ปี (ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.63 ถึงวันที่ 30 ก.ย. 64) เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนและกระตุ้นให้มีการบริโภคของประชาชนอย่างต่อเนื่อง