ข้อเขียนผมเมื่อวานนี้เสนอให้ ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ชี้แจงเพิ่มเติมคำสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ “งดจ่ายปันผลระหว่างกาล” และ “งดซื้อหุ้นคืน” ในปีนี้เพื่อให้เกิดความชัดเจน เพราะเงินปันผลระหว่างกาลไม่ได้จ่ายทุกแบงก์ การซื้อหุ้นคืนคือไม่ได้ซื้อทุกแบงก์ แต่คำสั่งทำให้สงสัยว่าแบงก์มีปัญหา ผมส่งต้นฉบับบ่ายวันเสาร์ ก่อนที่ผู้ว่าการแบงก์ชาติจะออกคำสั่งชี้แจงเพิ่มเติมในบ่ายวันเดียวกัน วันนี้ผมเลยขอนำคำชี้แจงที่สำคัญของผู้ว่าการแบงก์ชาติมาลงย้ำอีกทีครับ
ผมเห็นด้วยกับ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ที่ใช้นโยบาย ป้องกันไว้ก่อน แม้เศรษฐกิจไทยจะอ่อนแอ แต่มีระบบธนาคารพาณิชย์ที่แข็งแรง ก็ดีกว่าประเทศที่อ่อนแอทั้งสองอย่าง
ดร.วิรไท ชี้แจงว่า การรักษาภูมิคุ้มกันให้กับระบบเศรษฐกิจและระบบสถาบันการเงิน เป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยกว่า การรักษาภูมิคุ้มกันให้กับสุขภาพของคนไทยแต่ละคน ภูมิคุ้มกันที่สำคัญอันดับหนึ่งของธนาคารพาณิชย์ก็คือ “ระดับเงินกองทุน” ที่จะเป็นกันชน รองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว และความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จากการระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้เงินกองทุนยังช่วยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้น เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เมื่อการระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง และเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ช่วงการฟื้นฟูเต็มที่
ดร.วิรไท ระบุว่าการขอให้ธนาคารพาณิชย์ งดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล และงดซื้อหุ้นคืน เป็นมาตรการเพื่อ ไม่ให้ธนาคารพาณิชย์ “การ์ดตก” ในการรักษาระดับเงินกองทุนให้เข้มแข็งต่อเนื่อง จนกว่าจะจัดทำแผนบริหารจัดการเงินกองทุนใหม่ให้ชัดเจน เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ณ วันสิ้นไตรมาส 1 อยู่ในเกณฑ์สูงที่ร้อยละ 18.7
การประเมินระดับเงินกองทุน ก็เหมือนการตรวจสุขภาพ ที่ต้องทำเป็นประจำรอบที่ผ่านมาแบงก์พาณิชย์ทำแผนจัดการเงินกองทุนก่อนเกิดโควิด-19 ระบาด แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปมาก ธนาคารและลูกค้าได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จากมาตรการล็อกดาวน์ ลูกค้าแบงก์ก็อยู่ในช่วงรับการเยียวยา ปรับตัว หรือวางแผนธุรกิจใหม่ ธนาคารจึงควรประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นกับลูกค้าและแผนธุรกิจของธนาคารให้ชัดเจน ธปท.จึงขอให้ธนาคารพาณิชย์เร่งทบทวนแผนบริหารจัดการเงินกองทุนในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า
ความเป็นห่วงของ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ สอดคล้องกับการวิเคราะห์ทุกสำนัก เศรษฐกิจไทยต้องใช้เวลากว่า 2 ปี จึงจะฟื้นตัวกลับเข้าสู่ภาวะก่อนเกิดโควิด-19 ช่วง 2 ปีเศษจากนี้ไประบบธนาคารพาณิชย์จึงต้องแข็งแรง สามารถช่วยลูกค้าในการฟื้นฟูธุรกิจเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจได้
ผู้ว่าการแบงก์ชาติ เปิดเผยอีกว่า ที่ต้องประกาศเรื่อง “งดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล” และ “งดซื้อหุ้นคืน” ให้เป็น นโยบายกลางของธนาคารแห่งประเทศไทย ก็เพื่อช่วยให้เกิดความชัดเจนแก่ผู้ร่วมตลาด ช่วยลดความกังวลของธนาคารพาณิชย์ เพราะมีบางแบงก์ที่จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล บางแบงก์ที่ซื้อหุ้นคืน ถ้าไม่จ่ายเงินปันผลไม่ซื้อหุ้นคืน ผู้ถือหุ้น และ ผู้ฝากเงิน อาจเข้าใจผิด จึงได้ออกเป็นนโยบายกลางเพื่อสร้างความชัดเจน
นโยบายนี้ธนาคารกลางหลายประเทศก็ทำ เช่น ยุโรป แนะไม่ให้จ่ายเงินปันผลและไม่ให้ซื้อหุ้นคืนจนถึงตุลาคม 63 อังกฤษ ห้ามจ่ายเงินปันผลและไม่ให้ซื้อหุ้นคืน นิวซีแลนด์ งดการซื้อหุ้นคืนและงดจ่ายเงินปันผลในช่วงนี้ แคนาดา ห้ามเพิ่มเงินปันผล เป็นต้น
ดร.วิรไท ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ย้ำว่า นโยบายงดง่ายเงินปันผลระหว่างกาล และงดซื้อหุ้นคืน ระหว่างที่ทำแผนบริหารจัดการกองทุนใหม่ จะเป็นผลดีสำหรับผู้ถือหุ้นในระยะยาว เป็นผลดีต่อผู้ฝากเงิน และเป็นผลดีต่อระบบสถาบันการเงิน ช่วยให้ธนาคารยกระดับเงินกองทุนสูงต่อเนื่อง เป็นกันชนรองรับความไม่แน่นอนในอนาคต และมีเงินปล่อยสินเชื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ ผมก็หวังว่า เมื่อวานนี้คงไม่มีใครขายหุ้นแบงก์ หรือไปถอนเงิน อย่างที่ผมเดาไปล่วงหน้านะครับ.
“ลม เปลี่ยนทิศ”