เอไอเอส ทรู ดีแทค แคท และทีโอที ยื่นเข้าร่วมประมูล 5 จีครบ กสทช.ยิ้มไม่หุบลั่นไทยจะเปิดบริการ 5 จีก่อนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น ประเมินได้เงินเข้ารัฐมากกว่า 70,000 ล้านบาท พบผู้ประกอบการทั้ง 5 ราย ไม่มีใครสนประมูลคลื่น 1800 ที่มีราคาแพงที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2563 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้เปิดให้ผู้ประกอบการโทรคมนาคม เข้ายื่นเอกสาร เพื่อเข้าร่วมประมูล 5 จี บนคลื่นความถี่ 700 เมกะเฮิรตซ์ 1800 เมกะเฮิรตซ์ 2600 เมกะเฮิรตซ์ และ 26 กิกะเฮิรตซ์ จำนวน 56 ใบอนุญาต ในวันที่ 16 ก.พ.นี้ ผลปรากกฎว่า ผู้ประกอบการโทรคมนาคมทั้ง 5 รายได้มายื่นเอกสารเพื่อเข้าร่วมประมูล 5 จี อย่างพร้อมเพรียง ตามลำดับเวลา ได้แก่ บริษัท ทรูมูฟ ยูนิเวอร์แซล คอมมูนิเคชั่น จำกัด มายื่นเอกสารเป็นรายแรกเวลา 11.00 น. ตามด้วยบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของการเข้าร่วมประมูลมาในเวลา 11.09 น. ถัดมาเป็นบริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด บริษัทในเครือ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค เวลา 12.59 น. บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นครั้งแรกของการเข้าประมูลเช่นกัน มายื่นเอกสาร เวลา 15.15 น. และสุดท้ายบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ตเวอร์ค จำกัด (เอดับบลิวเอ็น) ในเครือบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส มายื่นเป็นรายสุดท้ายเวลา 15.35 น.
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า จากท่าทีการมายื่นเอกสารครั้งนี้ มั่นใจว่ามูลค่าการประมูลครั้งนี้จะเกิน 70,000 ล้านบาท รวมใบอนุญาตที่ประมูลได้ 27 ใบอนุญาต จากทั้งหมด 56 ใบอนุญาต
“ผมมั่นใจว่า ประเทศไทยจะต้องเปิดให้บริการ 5 จีได้ก่อนประเทศในเอเชีย และก่อนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่นด้วย เพราะขณะนี้ได้เปิดให้เอกชนที่เข้าร่วมประมูล ยื่นขออนุญาตนำเข้าอุปกรณ์ 5 จีแล้ว คาดว่าจะเปิดบริการ ได้เร็วสุดเดือน เม.ย. และช้าสุด พ.ค.-มิ.ย.2563”
สำหรับการประมูลครั้งนี้ จะเริ่มจากการประมูล คลื่น 700 เมกะเฮิรตซ์ก่อน โดยประมูล 3 ใบอนุญาต ใบอนุญาตละ 5 เมกะเฮิรตซ์ ราคาเริ่มต้น 8,792 ล้านบาท เคาะราคาครั้งละ 440 ล้านบาท การชำระเงิน แบ่งเป็น 10 งวด งวดละ 10% โดยผู้เข้าร่วมประมูลต้องวางหลักประกัน 2,637.6 ล้านบาท และหากไม่ชำระค่าประมูล จะต้องชำระค่าปรับ 1,319 ล้านบาทต่อใบอนุญาต
ขณะที่คลื่น 1800 เมกะเฮิรตซ์ จำนวน 7 ใบอนุญาต ใบอนุญาตละ 5 เมกะเฮิรตซ์ ราคาเริ่มต้น 12,486 ล้านบาท เคาะราคาครั้งละ 25 ล้านบาท การชำระเงินแบ่งเป็น 3 งวด งวดที่ 1 จำนวน 50% ของราคาที่ชนะการประมูล งวดที่ 2 และ 3 จำนวนงวดละ 25% ของราคาที่ชนะการประมูล โดยผู้เข้าร่วมประมูลต้องวางหลักประกัน 4,994.4 ล้านบาท และหากไม่ชำระค่าประมูล จะต้องชำระค่าปรับ 1,873 ล้านบาท ต่อใบอนุญาต โดยผู้ชนะการประมูลจะต้องขยายโครงข่ายให้ครอบคลุม 40% ของประชากร ภายใน 4 ปี และครอบคลุม 50% ของประชากรภายใน 8 ปี
ส่วนคลื่น 2600 เมกะเฮิรตซ์ จำนวน 19 ใบอนุญาต ใบอนุญาตละ 10 เมกะเฮิรตซ์ ราคาเริ่มต้น 1,862 ล้านบาท เคาะราคาครั้งละ 93 ล้านบาท การชำระเงินแบ่งเป็น 7 งวด งวดที่ 1 จำนวน 10% ของราคาที่ชนะการประมูล งวดที่ 2-7 (ปีที่5-10) งวดละ 15% ของราคาที่ชนะการประมูล โดยผู้เข้าร่วมประมูลต้องวางหลักประกัน 1,862 ล้านบาท และหากไม่ชำระค่าประมูล จะต้องชำระค่าปรับ 280 ล้านบาท ต่อใบอนุญาต โดยผู้ชนะการประมูลจะต้องขยายโครงข่ายให้ครอบคลุม 50% ในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ภายใน 1 ปี และครอบคลุม 50% ของประชากรในสมาร์ทซิตี้ ภายใน 4 ปี
และคลื่น 26 กิ๊กกะเฮิรตซ์ จำนวน 27 ใบอนุญาต ใบอนุญาตละ 100 กิ๊กกะเฮิรตซ์ ราคาเริ่มต้น 423 ล้านบาท เคาะราคาครั้งละ 22 ล้านบาท การชำระเงินงวดเดียวภายใน 1 ปีหลังจากการประมูล โดยผู้เข้าร่วมประมูลต้องวางหลักประกัน 507.6 ล้านบาท และหากไม่ชำระค่าประมูลจะต้องชำระค่าปรับ 64 ล้านบาทต่อใบอนุญาต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบเอกสารเข้าร่วมประมูลซึ่งผู้ประกอบ การต้องแสดงเจตจำนงว่าจะเข้าประมูลคลื่นใดบ้างนั้น ปรากฏว่าไม่มีผู้ประกอบ การรายใดสนใจเข้าประมูลคลื่น 1800 คาดว่าเพราะมีราคาสูงเกินไป.