นายชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทิศทางการบริหารเงินลงทุนของบริษัทที่มีอยู่ 40,000 ล้านบาทนั้น บริษัทจะมีการนำเงินไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์คิดเป็นสัดส่วน 30-40% ของเงินลงทุน โดยในช่วงนี้ให้พนักงานติดตามการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ หากปรับลดลงต่ำกว่า 1,600 จุด จะทยอยเข้าไปลงทุน ที่มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (พีอี) ที่ต่ำ และให้ผลตอบแทนต่อปีไม่ต่ำกว่า 3.5%
โดยจะเห็นได้ว่าหุ้นที่พีอีต่ำนั้นในช่วง 2-3 ปีนี้จะไม่ได้ขยายการลงทุน ขณะเดียวกันจะเป็นบริษัทที่มั่นคง ให้ผลตอบแทนไม่หวือหวา ซึ่งบริษัทสนใจเข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน ส่วนหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างไม่ได้สนใจและหลีกเลี่ยง เนื่องจากมีความเสี่ยงจากการที่รัฐบาลที่เปิดให้บริษัทเอกชนจีนเข้ามารับก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งจีนมีต้นทุนการก่อสร้างที่ต่ำเอกชนไทยสู้ได้ยาก อย่างไรก็ตาม การเข้าไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ต้องรอให้ปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯนิ่งก่อน จึงจะเข้าไปซื้อหุ้นจริงจัง แต่หากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ต่ำกว่า 1,600 จุด ก็จะทยอยเข้าไปลงทุน
ทั้งนี้ การจัดพอร์ตการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทจะกันเงินส่วนหนึ่งหรือ 10% ของเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อนำเงินไปลงทุนในหุ้นที่มีพีอีสูง เพื่อทำกำไรจากราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้น และเป็นการถือหุ้นในระยะเวลา 6-12 เดือน ส่วนพอร์ตการลงทุนใหญ่คัดเลือกหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล ซึ่งหุ้นที่เข้าไปลงทุนต้องได้รับผลตอบแทนต่อปีไม่ต่ำกว่า 3.5% ซึ่งผลตอบแทนจากการลงทุนที่ได้รับจากตลาดหุ้นสูงกว่าการนำเงินไปฝากกับธนาคารพาณิชย์ หรือลงทุนในพันธบัตรที่ได้รับผลตอบแทนอยู่ที่ 1.8% ต่อปี.