นายสุระชัย เอี่ยมวชิรกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยหลังกลับเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการ ขสมก.อีกครั้ง ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมว่า เนื่องจากตรวจสอบแล้วไม่ปรากฏความผิด จากก่อนหน้านี้ถูกคำสั่ง คสช.ให้ย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักนายกรัฐมนตรีว่า ตนได้เข้าร่วมประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงคมนาคม เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคมเร่งรัดให้ ขสมก. ทำตามแผนฟื้นฟูกิจการอย่างเร่งด่วน
สำหรับเรื่องที่ต้องทำเร่งด่วนคือ การจัดหารถเมล์ใหม่และการซ่อมรถเมล์เก่ากลับมาใช้งาน เพื่อเร่งเพิ่มรายได้ให้กับ ขสมก. เพราะรถเมล์คันใหม่ๆจะดึงดูดให้คนเข้ามาใช้บริการมากขึ้นรวมทั้ง ขสมก.ยังสามารถปรับขึ้นค่าโดยสารได้ ตามมติคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง หากมีการนำรถใหม่มาให้บริการ
“แผนการจัดหาและซ่อมรถจะใช้งบรวม 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.จัดซื้อรถเมล์ไฮบริด จำนวน 1,500 คน วงเงิน 10,000 ล้านบาท 2.เช่ารถเมล์ 700 คัน แบ่งออกเป็น รถเมล์ระบบดีเซลและไฟฟ้า (ไฮบริด) 400 คันรถเมล์ปรับอากาศ (รถเมล์แอร์) ใช้เอ็นจีวี 300 คัน 3.ซ่อมรถเมล์เก่า 323 คัน โดย 2 รายการหลังใช้เงินรวม 10,000 ล้านบาท ”
ทั้งนี้ แผนการจัดหารถเมล์ใหม่ ทั้งซื้อ, เช่า, แผนการซ่อมยังไม่ได้นำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพราะสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติกำลังดูราย ละเอียด หากแล้วเสร็จจะเสนอให้ ครม.พิจารณาได้ในเดือน ก.ย.นี้ มั่นใจว่า ขสมก.จะมีรายได้จากค่าโดยสารที่เพิ่มขึ้น และขณะนี้ได้มอบให้ฝ่ายจัดหารายได้ไปวิเคราะห์เปรียบเทียบรายรับ จากค่าโดยสารที่ได้จากรถเก่า และรถใหม่ เปรียบเทียบกันว่ารายรับรถใหม่สูงกว่ามากน้อยเพียงใด เพื่อประเมินแนวโน้มรายได้ว่าจะเป็นอย่างไร หรือจะทำให้อีบีด้า หรือกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายของ ขสมก.พลิกกลับมาเป็นบวกได้ใน 4-5 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ ต้องเร่งจัดทำระบบอีทิตเก็ต (ตั๋วโดยสารอิเล็กทรอนิกส์) โดยต้องแก้ปัญหาข้อพิพาทกับบริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) ในโครงการเช่าระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมอุปกรณ์ (อีทิคเก็ต) และเครื่องเก็บค่าโดยสาร หรือกล่องเก็บค่าโดยสาร “แคชบ็อกซ์” บนรถโดยสารประจำทาง 2,600 คัน วงเงิน 1,665 ล้านบาท ให้แล้วเสร็จก่อน.