ประกาศ กกร.กำหนดให้แจ้งราคายา เวชภัณฑ์ และค่าบริการทางการแพทย์ มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่ 30 พ.ค.62 ยันโรงพยาบาลเอกชนต้องแจ้งราคา พบเอกชนบางแห่งฟันสุดโหด ใบสั่งยาต้องมีชื่อยา วิธีใช้ กับราคา...
เมื่อวันที่ 30 พ.ค.2562 นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รมช.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ได้ลงนามในประกาศ กกร. ฉบับที่ 52 พ.ศ.2562 เรื่องการแจ้งราคา การกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขเกี่ยวกับการจำหน่ายยารักษาโรค เวชภัณฑ์ ค่าบริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาลแล้ว เมื่อวันที่ 29 พ.ค.2562 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค.2562 เป็นต้นไป มั่นใจว่ามาตรการนี้จะช่วยดูแลผู้บริโภคให้ได้รับความเป็นธรรมจากการเข้าไปใช้บริการของโรงพยาบาลเอกชน
สำหรับประกาศ กกร.ดังกล่าว กำหนดให้โรงพยาบาลเอกชน ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้จำหน่ายส่ง ต้องแจ้งราคาซื้อ-ราคาจำหน่ายยา เวชภัณฑ์ ค่าบริการ ตามรายการที่อยู่ในบัญชีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่ (UCEP) เบื้องต้นอยู่ที่ 3,892 รายการ และในอนาคตจะขยายผลให้ครอบคลุมรายการยาตามรหัสบัญชีข้อมูลยาและรหัสยามาตรฐานไทย (TMT) โดยบัญชียามี 32,000 รายการ บัญชีเวชภัณฑ์ 868 รายการ และค่าบริการทางการแพทย์ 5,286 รายการ
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้โรงพยาบาลที่มีการเปลี่ยนแปลงราคายา ต้องแจ้งให้กรมทราบก่อนปรับราคาภายใน 15 วัน หากไม่แจ้งราคาซื้อ-ราคาจำหน่ายตามที่ประกาศกำหนด จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกไม่เกินวันละ 2,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน หรือจนกว่าจะแจ้ง
“กรมส่งประกาศดังกล่าวไปให้โรงพยาบาลเอกชนทั้ง 353 แห่งแล้ว และให้ระยะเวลาในการแจ้งราคาซื้อขาย ภายใน 45 วัน ใครไม่แจ้งจะมีโทษตามที่กฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 กำหนด ซึ่งหลังจากได้ข้อมูลมาครบแล้ว กรมจะนำขึ้นเว็บไซต์กรม และโรงพยาบาลเอกชนต้องแสดง QR Code เปิดเผยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้โดยสะดวกด้วย รวมทั้งจะเชิญโรงพยาบาลที่คิดราคาแพงเกินจริง หรือคิดกำไรเกินจริงมาสอบถามเหตุผลด้วย” นายวิชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์โครงสร้างราคายา จากข้อมูลราคาซื้อขาย และราคานำเข้า ที่กรมได้ขอไปยังโรงพยาบาลเอกชนทั้ง 353 ราย พบว่าโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งมีส่วนต่างระหว่างราคาซื้อกับราคาขายตั้งแต่ 29.33%-8,766.79% หรือมีส่วนต่างราคาตั้งแต่ 10.83-28,862 บาท และมีกำไรตั้งแต่ 47.73- 16,566.67% ขณะเดียวกันยังพบว่า ยาชนิดเดียวกัน โรงพยาบาลเอกชนแต่ละแห่งคิดราคาขายต่างกันมาก ยา XANDASE (allopuirnol 100 มิลลิกรัม) ขายตั้งแต่เม็ดละ 3-20 บาท โดยมีราคากลางที่ 6 บาท, ยา AMPHOTERICIN-B (amphotericin b 50 มก.) ขวดละ 452-2,200 บาท ราคากลางอยู่ที่ 937 บาท, ยา S_DOPROCT (10 กรัม) หลอดละ 17-303 บาท ราคากลาง 148 บาท เป็นต้น
นายวิชัย กล่าวว่า ภายใต้ประกาศ กกร. ยังได้กำหนดเรื่องใบสั่งยา โดยกำหนดให้โรงพยาบาลเอกชนประเมินค่ารักษาเบื้องต้นให้ผู้ป่วยทราบ และต้องแจ้งราคายา เวชภัณฑ์ และค่าบริการทางการแพทย์ให้ผู้ป่วยทราบ ก่อนจำหน่ายหรือให้บริการ เมื่อผู้ป่วยร้องขอ และในการจำหน่ายยาสำหรับผู้ป่วยนอก ให้โรงพยาบาลต้องออกใบสั่งยาตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรม และใบแจ้งราคายาให้ผู้ป่วยทราบล่วงหน้า โดยใบสั่งยาอย่างน้อยต้องประกอบด้วยชื่อสามัญทางยา ชื่อทางการค้า รูปแบบยา ขนาดหรือปริมาณ จำนวน วิธีใช้ ระยะเวลาในการใช้ และใบแจ้งราคายาต้องประกอบด้วยชื่อยาตามใบสั่งยาและราคาต่อหน่วย หากไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการในส่วนกลางและส่วนจังหวัดเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัย กรณีมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการให้บริการรักษาพยาบาลที่เกินความจำเป็น หรือการคิดค่าบริการรักษาพยาบาลสูงเกินสมควร เช่น ปวดท้อง คิดค่ารักษา 30,000 บาท หรือปวดหัว แต่ให้บริการทั้งตรวจตา วัดชีพจร ตรวจลิ้น ทำทีซีสแกน หรือคิดค่าชะโงกจากการนำแพทย์มาให้บริการหลายคน เป็นต้น หากผู้บริโภคเห็นว่ามีการคิดราคาสูงเกินสมควรจริง สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรม โทร.1569 หากกรมตรวจสอบแล้วพบโรงพยาบาลเอกชนผิดจริง จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ.