นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ศูนย์ได้ศึกษาผลกระทบความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) สหภาพยุโรป (อียู) และเวียดนามที่จะมีผลบังคับใช้ในไตรมาสที่ 3 ของปี 62 ซึ่งพบว่า ในปี 62 จะทำให้สินค้าไทยสูญเสียรายได้จากการส่งออกไปตลาดอียู เพราะถูกสินค้าเวียดนามแย่งตลาดในอียู มูลค่า 21,525 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 38,603 ล้านบาทในปี 64 เพราะอียูจะลดภาษีนำเข้าให้แก่สินค้าเวียดนามทันที ในสัดส่วน 71% ของรายการสินค้าทั้งหมด และจะทยอยลดภาษีในส่วนที่เหลือภายใน 7 ปี ซึ่งจะทำให้สินค้าเวียดนามได้เปรียบสินค้าไทยมาก โดยเฉพาะสินค้าที่ใกล้เคียงกัน
สำหรับสินค้าไทยที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ที่คาดว่าในปีนี้จะสูญเสียรายได้ในตลาดในอียู 10,865 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 19,483 ล้านบาทในปี 64 รองลงมาเป็นเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 1,987 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 3,563 ล้านบาท, อุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบ 1,705 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 3,060 ล้านบาท, ยางและผลิตภัณฑ์ยาง 1,392 ล้านบาท จะเพิ่มเป็น 2,497 ล้านบาท, ปศุสัตว์ 1,218 ล้านบาท จะเพิ่มเป็น 2,187 ล้านบาท เป็นต้น อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าตั้งแต่ปี 64 เวียดนามจะมีมูลค่าส่งออกไปตลาดยุโรปเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 13.3% แต่หากไม่ทำเอฟทีเอ การส่งออกของเวียดนามไปอียู จะขยายตัวเฉลี่ยปีละ 6.6% เท่านั้น ขณะที่สินค้าไทยคาดจะมีมูลค่าส่งออกไปอียูเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2.1% แต่หลังเอฟทีเอ อียู-เวียดนามมีผลบังคับใช้ จะทำให้การส่งออกไทยไปอียูในปี 62-64 เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเพียง 0.8% จึงต้องการเสนอให้รัฐบาลชุดใหม่เปิดเจรจาทำเอฟทีเอไทย-อียูโดยด่วน เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในอนาคต.