นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้หารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทย ที่เกี่ยวข้อง มาหารือผลกระทบและวิธีแก้ไขปัญหาจากกรณีที่สหรัฐฯได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าภายใต้มาตรา 232 (National Security) กับสินค้าเหล็ก และอะลูมิเนียม ทุกรายการ ที่นำเข้าจากทั่วโลก รวมถึงไทย ในอัตรา 25% และ 10% ตามลำดับ โดยจะมีผลบังคับใช้วันที่ 23 มี.ค.นี้ โดยพบว่าผลิตภัณฑ์เหล็กของไทยที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่ ท่อเหล็ก และเหล็กแผ่นรีดเย็น
ทั้งนี้ คาดว่าผลกระทบนั้นในระยะสั้น หรือในช่วง 1-3 เดือน หลังการปรับขึ้นภาษีนำเข้า จะยังไม่มีมากนัก เพราะราคาเหล็กในสหรัฐฯ ปรับขึ้นสูงประมาณ 30% แล้ว ดังนั้น แม้ว่าเหล็กของไทยจะถูกเก็บภาษีเพิ่มแต่ยังคงแข่งขันด้านราคาได้ แต่ผลกระทบในระยะยาวคาดว่า เมื่อผู้ผลิตของสหรัฐฯ ปรับตัวจนสินค้ามีราคาแข่งขันได้ รวมทั้งผู้ผลิตเหล็กในแคนาดาและเม็กซิโก ที่ได้รับยกเว้นการใช้มาตรา 232 จะได้เปรียบผู้ส่งออกประเทศอื่นรวมทั้งไทย
“ไทยจะเจรจากับกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เพื่อขอยกเว้นการใช้มาตรา 232 เป็นรายพิกัดสินค้า ก่อนที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ จะประกาศรายละเอียดหลักเกณฑ์และวิธีการ ในการดำเนินการขอยกเว้นเป็นรายพิกัด ภายในวันที่ 19 มี.ค.นี้ นอกจากนี้ ไทยจะเจรจากับสหรัฐฯ ในการประชุมคณะมนตรีภายใต้กรอบการค้าและการลงทุน (TIFA) ไทย-สหรัฐฯ ที่จะประชุมเดือน เม.ย.นี้ เป็นอีกช่องทางหนึ่งเพื่อขอยกเว้นการใช้มาตรา 232 กับไทย ยืนยันว่า กระทรวงพาณิชย์จะร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อดำเนินการปกป้องผลประโยชน์ของไทยต่อไป”.