นายพิจินต์ อภิวันทนาพร ผู้จัดการฝ่ายผู้ลงทุนสัมพันธ์บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า กำไรสุทธิปี 61 มีแนวโน้มที่ดี หากราคาน้ำมันดิบดูไบยืนอยู่ที่ 60-65 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และทรงตัวถึงสิ้นปีนี้ จากปีก่อนเฉลี่ยที่ 53.14 เหรียญต่อบาร์เรล เพราะราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น 1 เหรียญต่อบาร์เรล ทำให้มีกำไรสุทธิ ในงบรวม เพิ่มขึ้น 200-300 ล้านบาท ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 63-64 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
ในปีนี้บริษัทได้ตั้งงบลงทุนปี 61 ไว้ที่ 246,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเพื่อปรับปรุงโครงการ จำนวน 159,000 ล้านบาท เช่น การเพิ่มทุนให้บริษัท ปตท.น้ำมัน และการค้าปลีก จำกัด (PTTOR) เพื่อนำมาซื้อสินทรัพย์จาก ปตท. ซึ่งจะโอนทรัพย์สินเสร็จภายในปีนี้ และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ปี 62 และเพิ่มทุนในธุรกิจถ่านหิน ส่วนที่เหลืออีก 87,000 ล้านบาท ลงทุนในท่อส่งก๊าซเส้นที่ 5 ในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ฯลฯ
นอกจากนี้ ปตท.เตรียมจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 12 เม.ย. ซึ่งจะมีการเสนอชื่อผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่แทนนายเทวินทร์ วงศ์วานิช ที่จะเกษียณอายุในวันที่ 31 ส.ค.นี้ และมีเรื่องการขออนุมัติผู้ถือหุ้นในการแตกพาร์ จาก 10 บาท เป็น 1 บาท เพื่อให้นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้ามาลงทุนหุ้น PTT ได้มากขึ้น จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนเพียง 4%
นายทิติพงษ์ จุลพรศิริ ผู้จัดการฝ่ายหน่วยงานการเงินองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า ในช่วงกลางปีนี้ บริษัทเตรียมปรับเพิ่มเป้ายอดขายปีนี้ จากเดิมคาดอยู่ที่ 480,000 ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทประเมินราคาน้ำมันเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ 60-65 เหรียญต่อบาร์เรล จากปีก่อนที่อยู่ 53 เหรียญต่อบาร์เรล ปีนี้ได้ตั้งงบลงทุนไว้ 30,000 ล้านบาท.