ภารกิจวิ่งสู้ฟัดของ “เศรษฐา ทวีสิน”

ทันทีที่กลับจากการเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 30 (2023 APEC Economic Leaders’ Meeting) และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 12-19 พ.ย.2566 ณ นครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้รุดไปร่วมงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 41 ณ ศูนย์ประชุมไบเทค แทบจะทันที ขึ้นเวทีกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “The time to act isnow พลิกวิกฤติ ฟื้นเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืน”

ข้อใหญ่ใจความมีการพูดถึงการเดินทางไปประชุมเอเปก ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “แม้หลายคนอาจมองว่าการไปประชุมเอเปกของไทยประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่ผมไม่ได้มองอย่างนั้น ผมมองว่าประเทศไทยสามารถก้าวต่อไปได้อีก และลมปากอย่างเดียว ไม่สามารถดึงดูดนักลงทุนให้เอาเงินเข้ามาลงทุนได้”

เป็นความจริง...ตามที่นายกรัฐมนตรีกล่าว ลมปากอย่างเดียวไม่สามารถดึงเงินลงทุนได้ แต่ลมปากจากการไปเยือนพบปะหลากหลายบริษัทอเมริกันยักษ์ใหญ่เป็นการเพิ่มโอกาสให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะเมื่อเป็นลมปากจากนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้นำประเทศ

นอกเหนือจากการหารือร่วมกับผู้นำและสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปกแล้ว นายกรัฐมนตรีได้จัดตารางหารือทวิภาคีกับผู้นำสมาชิกเอเปกหลายคน รวมทั้งเปิดเวทีเป่ากระหม่อมภาคเอกชนอเมริกันระดับโลกหลายสาขา

ทันทีที่ลงเครื่อง นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมบริษัทเทสลา (Tesla) ผู้นำด้านรถไฟฟ้า ซึ่งบริษัท เทสลา (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งจดทะเบียนจัดตั้งในไทยเมื่อวันที่ 25 เม.ย.2565 กำลังอยู่ระหว่างศึกษาโอกาสขยายการลงทุนในเอเชีย ซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังว่าความพยายามในการเป็นศูนย์กลางรถไฟฟ้าและพลังงานทดแทนของไทยจะดึงดูดเทสลาได้มากพอ

จากนั้น ได้พบกลุ่ม HP ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ แล็ปท็อป พรินเตอร์ระดับโลก ชวนให้เข้ามาขยายการลงทุน ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก และตั้งสำนักงานภูมิภาค ต่อด้วยบริษัท Analog Devices, Inc. หรือ ADI ผู้ผลิตวงจรรวม เรียกร้องให้ขยายการลงทุนในไทยเช่นกัน โดยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนและอยากให้ช่วยพัฒนาหลักสูตรที่เหมาะสมเกี่ยวกับการออกแบบวงจรผลิตแผ่นเวเฟอร์ที่ ADI ต้องการให้กับประเทศไทย

วันต่อมา นายกรัฐมนตรีได้ต้อนรับผู้บริหารจาก Amazon Web Services (AWS) โดยได้ขอบคุณที่ AWS ประกาศลงทุน Data Center ในประเทศไทย (สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) มูลค่า 5,000 ล้านเหรียญ (ราว 190,000 ล้านบาท) ภายใน 15 ปี จากนั้นทยอยพบปะบริษัทอเมริกันชั้นนำ ตั้งแต่ วอลมาร์ท (Walmart) ยักษ์ค้าปลีก, Western Digital,กูเกิล (Google) และไมโครซอฟท์ (Microsoft)

ความสำเร็จในการหารือกับเอกชนเหล่านี้ ประกอบด้วยกรณี Western Digital ผู้ผลิต Hard Disk Drive รายใหญ่ระดับโลก เจ้าของส่วนแบ่งตลาดกว่า 40% ตัดสินใจขยายการลงทุนเพิ่มในไทย, ข้อเสนอให้วอลมาร์ทจัดซื้อสินค้าท้องถิ่นหรือโอทอปจากไทยมากขึ้น, กูเกิลประกาศแผนขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลในไทย โดยกำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการตั้ง Data Center ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และยังได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับไมโครซอฟท์ ให้ช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัล

วันถัดมา นายกรัฐมนตรีพบปะผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่เพิ่มเติม ตั้งแต่ทิม คุก ซีอีโอแอปเปิล (Apple) ซึ่งมีการหารือถึงความเป็นไปได้ในการจัดตั้งศูนย์พัฒนาบุคลากรเพื่อสร้างแอปพลิเคชันร่วมกัน โดยนายกรัฐมนตรีได้เชิญแอปเปิลมาตั้งสถาบันในประเทศไทย

ตลอดจนได้หารือกับผู้บริหาร TikTok หวังผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ผ่านทางแพลตฟอร์มของ TikTok โดยเสนอให้เข้ามาสร้างศูนย์ฝึกอบรมในไทย โดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) พร้อมเสนอสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเพื่อจูงใจ

นายกรัฐมนตรียังได้หารือผู้บริหารบริษัท Booking.com แพลตฟอร์มเพื่อการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มAgoda ด้วยว่า ประเทศไทยกำลังโปรโมตการท่องเที่ยว ขอให้ทำงานร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อหาทางขับเคลื่อนให้เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

ปิดท้ายด้วยการพบปะ แซม อัลท์แมน ผู้บริหารสูงสุดของ Open AI เจ้าของ ChatGPT ชวนให้มาตั้งศูนย์วิจัย (Research Center) ซึ่งยังไม่มีที่เอเชีย โดยคาดว่า Open AI จะสนใจจังหวัดเชียงใหม่และภูเก็ตเป็นพิเศษ ซึ่งจากนี้ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องโน้มน้าวใจให้เข้ามาตั้งในไทยให้สำเร็จจงได้

และเพื่อไม่ให้เป็นแค่ลมปาก นายกรัฐมนตรีได้สั่งการ คิกออฟนัดทีม ทั้งระดับกรมและกระทรวง เริ่มตั้งแต่วันที่20 พ.ย.2566 เป็นต้นไป ภายใต้โจทย์ว่าต้องไปทำการบ้านอย่างไรต่อ เพื่อให้มั่นใจว่า การลงทุนนั้นๆจะเกิดขึ้นได้จริง.

ศุภิกา ยิ้มละมัย

คลิกอ่านคอลัมน์ "THE ISSUES" เพิ่มเติม