มีการคาดการณ์ Worst Case (กรณีเลวร้ายสุด) ว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ปี 2568 อาจมีมูลค่าลดลงเหลือน้อยกว่า 1.012 ล้านล้านบาท (แง่การโอนกรรมสิทธิ์) หากเศรษฐกิจไทยเติบโตได้น้อยกว่า 2% รัฐบาลแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไม่ได้ ทำให้ผู้ซื้อบ้าน - คอนโดมิเนียมยังเผชิญกับการถูกแบงก์ปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยสูงถึง 70%
ขณะโครงการบ้านเพื่อคนไทยของรัฐบาลได้ส่งแรงกระเพื่อมถึงกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาฯ ให้จำเป็นต้องทบทวนและปรับแผนธุรกิจให้สอดรับกับกำลังซื้อในตลาดมากขึ้น โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินการเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ ทำเล กทม.-ปริมณฑล ปี 2568 อาจหดตัวลดลงเกือบ 40% เพราะแรงกดดันการลงทุนยังไม่คลี่คลาย
จับสัญญาณความเคลื่อนไหวของผู้พัฒนาอสังหาฯ เบอร์ 1 ในตลาด อย่าง “บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)” ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นผู้นำเทรนด์ หรือกำหนดทิศทางตลาดนั้น วันนี้ประกาศแผนธุรกิจ “Dynamic Growth” ด้วยเป้าหมายการเติบโตในทุกมิติ เพื่อก้าวสู่ยอดขายกว่า 53,000 ล้านบาท ภายใต้กลยุทธ์ขยายพอร์ตโครงการระดับพรีเมียมมากขึ้นกว่าเก่า จนอาจกล่าวได้ว่า …ใครไปไม่ไหว แต่แสนสิริขอไปต่อ! เพราะตลาดนี้เป็นของเรา
ทั้งนี้ “อุทัย อุทัยแสงสุข” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ ไม่ปฏิเสธว่าตลาดอสังหาฯ ไทย ณ เวลานี้ มีความท้าทายจากหลายปัจจัย ยอดขายภาพรวมของตลาดถูกฉุดด้วยสภาพเศรษฐกิจ แต่ผลสำเร็จของแสนสิริในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราเติบโตทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในทุกมิตินั้น ทำให้เชื่อว่าปีนี้จะเป็นอีกปีที่ดีของบริษัท
สำหรับแผนธุรกิจ ปี 2568 ของแสนสิรินั้น ความหมายที่แตกต่างคือ แสนสิริยังคงประกาศเป้าหมายการเติบโตในทุกมิติ ทั้งยอดขาย รายได้ และมูลค่าโครงการเปิดขายใหม่แบบสะเทือนวงการ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ การขยายพอร์ตไปสู่ตลาดที่สร้างชื่อ สร้างแบรนด์ และมีความเชี่ยวชาญมานานนับ 40 ปี นั่นคือตลาดโครงการระดับพรีเมียม ที่จะเป็นสัดส่วนโปรดักส์มากกว่า 65% ในปีนี้ หลังจากช่วงปีที่ผ่านมา มีสัดส่วนของโครงการดังกล่าวเพียง 35% เท่านั้น
แต่ผลลัพธ์เกินคาด สะท้อนจากสามารถกวาดยอดขายได้เป็นกอบเป็นกำ จากโครงการในกลุ่ม Sansiri Luxury Collection เช่น แบรนด์ นาราสิริ ราคาเริ่ม 45 ล้านบาท หรือ บูก้าน ราคาเริ่มต้นที่ 65 ล้านบาท โดยที่บางทำเลสามารถปิดการขายได้ภายใน 1 วันที่เปิดขาย ขยายการพัฒนาที่อยู่อาศัยในกลุ่มสินค้าระดับลักซ์ชัวรีและพรีเมียมในทำเลใหม่ที่มีศักยภาพสูง อาทิ บางนา, บรมราชชนนี, สะพานมหาเจษฎาบดินทร์ ซึ่งมีดีมานด์อย่างต่อเนื่องและไม่อ่อนไหวตามสภาพตลาด
1. ขยายการพัฒนาที่อยู่อาศัยในกลุ่มสินค้าระดับลักซ์ชัวรีและพรีเมียมในทำเลใหม่ที่มีศักยภาพสูง อาทิ บางนา, บรมราชชนนี, สะพานมหาเจษฎาบดินทร์ ซึ่งมีดีมานด์อย่างต่อเนื่องและไม่อ่อนไหวตามสภาพตลาด
2. เร่งเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ในกรุงเทพฯ เพิ่ม Backlog สนับสนุนการสร้างรายได้ระยะยาว
3. รุกต่อ Strategic Locations ขยายการพัฒนาโครงการไปยังแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ภูเก็ต พัทยา และขอนแก่น
4. ขยายโอกาสในการลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน โดยปีนี้จะมีโครงการ Joint Venture กับ บีทีเอส กรุ๊ป, โตคิว คอร์ปอเรชั่น, เอ็กซ์สปริง แคปิตอล และพันธมิตรใหม่ มิตซุย ฟุโดซัง เอเชีย ดีเวลลอปเมนท์ (ไทยแลนด์)
5. เตรียมพัฒนา Green Living Design ในโปรดักต์ใหม่ (เซ็กเมนต์ ลักซ์ชัวรีและพรีเมียม) กับการตั้งเป้าลดพลังงานสูงสุด โดยเตรียมเปิดตัว Sustainable Home Prototype คาดจะเป็นอีก 1 ก้าวสำคัญวงการอสังหาฯ ไทย
ผู้บริหารแสนสิริยังกล่าวว่า ขณะนี้ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าตลาดที่อยู่อาศัยไทยพ้นจุดต่ำสุดแล้วหรือยัง เพราะปัจจุบันมีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบ ในฐานะผู้ประกอบการ ทำได้แค่ “ปรับตัว” และทำตัวเองให้พร้อม ยืดหยุ่นกับทุกสถานการณ์ และรักษาสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อคว้าโอกาส
ขณะแสนสิรินั้น มีความแข็งแกร่งทั้งฐานะการเงิน และในแง่แบรนด์ที่แข่งขันได้ เป็นที่ยอมรับของผู้ซื้อ ที่ไม่ได้มาจากการตลาดเพียงเท่านั้น หากแต่เก็บเกี่ยวจากคุณภาพโปรดักส์ และการบริการหลังการขาย ทั้งนี้ ตลาดสินค้าระดับไฮเอนด์ หรือพรีเมียม ถือเป็นจุดกำเนิดของแบรนด์มาตั้งแต่ยุคเริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการบ้านไข่มุก, 98 wireless หรือคฤหาสน์นาราสิริ ล้วนเป็นเซกเมนต์ที่บริษัทมีความชำนาญ และไม่ใช่ผู้พัฒนาโครงการที่ไหนทำก็ได้ เพราะเป็นตลาดที่ไม่ง่าย แม้มีความหอมหวานของ “กำลังซื้อ” ก็ตาม ซึ่งแผนธุรกิจปีนี้ ครั้งแรกในรอบกว่า 40 ปี ที่แสนสิริบุกตลาดพรีเมียมและมีเดียมครอบคลุมทุกทำเลมากที่สุด
ทั้งนี้ “ภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ” ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ บมจ.แสนสิริ ย้ำว่า เราเห็นเซ็นทิเมนต์ตลาดหลายประการ ที่มีการตั้งคำถามไม่ว่าจะเป็นทิศทางดอกเบี้ย กำลังซื้อของผู้บริโภค สำหรับ แสนสิริ ยังมองเห็น แรงสนับสนุนแผนการเติบโต Dynamic Growth ในปีนี้ เช่น การโอนบ้านมือสอง การปล่อยเช่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ทำให้คนทำงานหาที่พักอาศัยเพิ่มขึ้น เราพบว่าคนยังหาข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อบ้านอยู่ (บ้านยังเป็นปัจจัย 4) รวมถึงการขยายแนวรถไฟฟ้าสายต่างๆ และรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นต้น
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney