หากพูดถึงยาหม่องน้ำ “เซียงเพียวอิ๊ว” เชื่อว่าคนไทยวัย 40+ขึ้นไป ต้องเคยทาถู...สูดดม แก้ลมวิงเวียน บรรเทาอาการปวดเมื่อย และคันจากแมลงสัตว์กัดต่อย
แต่ถ้าพูดถึงยาดม “เป๊ปเปอร์มิ้นท์ฟิลด์” วัยรุ่นวัยทีนคนรุ่นใหม่วัยทำงาน ต้องมีพกติดตัวไว้สูดดมยามต้องการความหอมสดชื่นแบบอโรม่า เพื่อความสดชื่นและผ่อนคลาย
“เลดี้แจน” พามาทำความรู้จัก “มีมี่” มีนา อัครพงศ์พิศักดิ์ ผู้บริหารเจเนอเรชันที่ 3 ผู้เข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัว เจ้าของยาหม่องน้ำ “เซียงเพียวอิ๊ว” และยาดม “เป๊ปเปอร์มิ้นท์ฟิลด์” ภายใต้บริษัท เบอร์แทรม
“มีมี่” เล่าว่า ยาหม่องน้ำ “เซียงเพียวอิ๊ว” ขวดแรก ได้เริ่มขายที่ปากคลองตลาดเมื่อปี ค.ศ.1958 (พ.ศ.2501) หรือเมื่อ 67 ปีก่อน โดย คุณตา หรือ “อาก๋ง” บุญเจือ เอี่ยมพิกุล ซึ่งเป็นผู้ผลิตและพัฒนาสูตรที่ได้รับถ่ายทอดมาจาก “ซินแสถัง” ผู้กุมสูตรลับตำรับยาสมุนไพร ที่สั่งสมมาจากบรรพบุรุษจากซัวเถา
“อาก๋ง” ที่ขณะนั้นมีอายุ 25 ปี เดินเร่ขาย “เซียงเพียวอิ๊ว” ให้แม่ค้าในปากคลองตลาด และฝากขายตามร้านขายยา ซึ่งขายดิบขายดีได้รับความนิยม จนขยายตลาดไปทั่วกรุงเทพฯ ในเวลาไม่นาน นำมาสู่การเปิด ห้างขายยา “จักรินทร์ เภสัช” เพื่อผลิตและจำหน่าย “เซียงเพียวอิ๊ว” ตอบรับ
ความต้องการที่มากขึ้นทั่วสารทิศ แถมยังส่งออกไปขายในประเทศเพื่อนบ้าน
เมื่อกิจการเติบโตก้าวหน้า ในปี 2525 จึงตั้งบริษัท เบอร์แทรมเคมิคอล (1982) จำกัด ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เบอร์แทรม (1958) จำกัด มี “สุวรรณา เอี่ยมพิกุล” คุณแม่ของ “มีมี่” เป็นซีอีโอ ส่วนที่มาของชื่อ “เซียงเพียวอิ๊ว” นี้ เป็นคำออกเสียงที่เพี้ยนจากภาษาจีนคำว่า “ซางเพียวโย่ว” มาจากชื่อพ่อของ “อาก๋ง” หรือคุณตาทวดของเธอ ที่ชื่อ “ซางหรือเซียง” บุคคลในรูปที่อยู่หน้ากล่อง ส่วน “เพียว” แปลว่ายี่ห้อ และ “อิ๊ว” แปลว่าน้ำมัน ที่ปัจจุบันปรับมาใช้ชื่อแบรนด์ว่า “เซียงเพียว”
“มีมี่” ซึ่งจบปริญญาตรี ด้านจิตวิทยาและมาร์เก็ตติ้ง จากบอสตันยูนิเวอร์ซิตี้ สหรัฐอเมริกา ได้เข้ามาช่วยงานด้านการตลาดของบริษัท หลังไปหาประสบการณ์เป็นพนักงานในบริษัทสตาร์ตอัพมาปีครึ่ง โดยเธอเริ่มงานที่เบอร์แทรมฯระดับพนักงานทั่วไป เรียนรู้จากทีมงานและหัวหน้าแผนก ก่อนจะไต่ระดับขึ้นมา จากที่เริ่มเข้ามาตอนอายุ 23 ปี ผ่านมา 8 ปี วันนี้ในวัย 31 เธอรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยซีอีโอ ดูแลด้านการตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ และดูงานด้าน R&D การพัฒนาสินค้าใหม่ๆ รวมทั้งดูแลแบรนด์ “เป๊ปเปอร์มิ้นท์ฟิลด์” ที่มุ่งเจาะตลาดคนรุ่นใหม่
“มีมี่” บอกว่า vision ของบริษัทคือ แบรนด์ไทยที่เป็น 1 ในเวทีโลก เธอจึงมีเป้าหมายที่ต้องทำให้ “เซียงเพียว” และ “เป๊ปเปอร์มิ้นท์ฟิลด์” เติบโตเป็นแบรนด์ไทยที่ไปผงาดบนเวทีโลกให้ได้ แม้ปัจจุบันจะส่งออกไปแล้วกว่า 24 ประเทศ แต่ยอดขายส่วนใหญ่ยังอยู่ใน CLMV โดยปี 67 ปิดยอดขายที่ราว 1,800 ล้านบาท เป็นสัดส่วนส่งออกและขายในประเทศ 50:50 แต่เราต้องการขยายตลาดไปให้กว้างกว่านี้
“ตอนเรียนอยู่อเมริกา เพื่อนถามว่าที่บ้านทำธุรกิจอะไรเราต้องอธิบายยาวเลย medicated oil กับ medicated balm ที่เราใช้เพื่อบรรเทาอาการหลายขนาน แต่เขาไม่รู้จัก ดังนั้นเราจึงอยากขยายตลาดให้เป็นที่รู้จักและผู้คนได้ใช้ประโยชน์มากขึ้น อยากเป็นแบรนด์ Red Bull ของยาหม่องและยาดม แค่บอกชื่อแบรนด์แล้วเขารู้จัก”
เมื่อถามถึงความท้าทายในฐานะ Gen3 ที่เข้ามาช่วยธุรกิจครอบครัว “มีมี่” บอกว่า คือเรื่องการบริหารคน ซึ่งในบริษัทมีทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ที่เราต้องดึงความเป็นผู้นำของเราออกมา ขณะเดียวกันก็ต้องเป็นผู้ตามที่ดี โดยปรึกษาคุณแม่ รวมทั้งพูดคุยแลกเปลี่ยนกับรุ่นพี่ที่เป็นผู้บริหารรุ่นใหม่เหมือนกัน และโชคดีที่ไม่ได้เข้ามาเริ่มจากตำแหน่งงานที่สูง ทำให้ได้เรียนรู้งาน จากการได้รับมอบหมายงานเพิ่มขึ้น ค่อยๆเติบโตด้วยผลงาน ทำให้ได้การยอมรับจากคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่
“มีมี่” ยังบอกด้วยว่า ความท้าทายสำคัญอีกอย่าง ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสำคัญด้วยคือ เราต้องทำให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วย 67 ปีที่รุ่น “อาก๋ง” และแม่สั่งสมมาถือว่าเรามีพื้นฐานที่มั่นคง และต้องยึด core value ที่ถือเป็น Legacy ของเราไว้ให้ได้ ขณะที่เดียวกันยังต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ให้มาใช้ผลิตภัณฑ์ของเราเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้นเราไม่อยากโตแบบหวือหวาระยะสั้น แต่ต้องทำให้ธุรกิจโตอย่างยั่งยืน
ดังนั้น เราจึงศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลอินไซต์ด้านตลาดและลูกค้าอย่างรอบคอบก่อนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขณะที่ผลิตภัณฑ์ของเราต้องผ่านการพัฒนาทดสอบทดลองอย่างรอบด้านที่ต้องใช้เวลาเพื่อคุณภาพที่ดีที่สุด และตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้มากที่สุด
“มีมี่” ย้ำว่า ตั้งแต่สมัย “อาก๋ง” ต่อเนื่องมายุค “คุณแม่” ได้ยึดมั่นใส่ใจผู้บริโภคสูงสุด โดยในปี 2557 พร้อมๆกับการออกผลิตภัณฑ์ยาดม “เป๊ปเปอร์มิ้นท์ฟลด์” ได้ลงทุนสร้างโรงงาน ใช้เครื่องจักรที่มีความปลอดภัยสูงสุดในการผลิต ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลสำหรับหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิต ขณะที่น้ำและท่อส่งน้ำที่ใช้ในการผลิตมีความสะอาดสูงสุด โดยใช้สเตนเลสเกรด 316L แบบเดียวกับที่ใช้ในร่างกายมนุษย์ และระบบ HVAC ห้อง Clean Room มีมาตรฐานเหมือนห้องผ่าตัด ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านมาตรฐานนี้ จึงปลอดภัยต่อโพรงจมูกสูงสุด สามารถสูดดมได้เรื่อยๆ เนื่องจากทุกผลิตภัณฑ์มีการบูรไม่ถึง 5% ต่ำกว่ามาตรฐาน FDA สหรัฐฯ ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 11% บรรจุภัณฑ์ยังเป็น food grade ทำให้สินค้าเราได้มาตรฐานส่งออกไปขายได้ทั่วโลก!!
“มีมี่” เล่าทิ้งท้ายว่า “ตอนเด็กอยากเป็นหมอเพราะอยากช่วยคน แต่เมื่อไม่ได้เรียนหมอ มาเรียนมาร์เก็ตติ้ง ตอนจบกลับมาเมืองไทยแรกๆ ไม่อยากทำงานที่บ้าน อยากทำอะไรที่ได้ช่วยคน หรืองานที่มี impact ที่ดีต่อสังคม คุณแม่จึงบอกว่า สินค้าที่เราผลิตทุกวันนี้ก็ได้ช่วยคน อย่างคนจะเป็นลมหรือรู้สึกไม่สบาย ใช้ยาหม่อง ยาดม ที่เรามีมาตรฐานที่สะอาดปลอดภัย ก็ช่วยให้เขาดีขึ้น ถือว่าได้ช่วยคน และหากอยากช่วยสังคมหรือทำอะไรที่มี impact ก็ยังนำกำไรไปช่วยได้อีก”
ดังนั้น Business on my way สำหรับ “มีมี่” จึงได้แรงบันดาลใจจากครอบครัว คือการทำธุรกิจที่มุ่งสร้างสังคมที่ดี โดยผลิตสินค้าที่ดีและซื่อสัตย์ต่อลูกค้า โดยมุ่งหวังสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ครอบครัวเราตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายยึดถือ เราทำธุรกิจโดยไม่เอาเปรียบลูกค้า คู่ค้า ขณะที่เบอร์แทรมฯยังมีโครงการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส เพื่อมอบสิ่งที่ดีคืนสู่สังคมด้วย.
เลดี้แจน
คลิกอ่านคอลัมน์ “Business on my way” เพิ่มเติม