จากฝีเข็มแรก สู่ 5 ทศวรรษ แกะสูตรลับ “แม็คยีนส์” สินค้าดีราคาแข่งขันได้ และ “คนขาย” ต้องเก่งด้วย

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

จากฝีเข็มแรก สู่ 5 ทศวรรษ แกะสูตรลับ “แม็คยีนส์” สินค้าดีราคาแข่งขันได้ และ “คนขาย” ต้องเก่งด้วย

Date Time: 19 มิ.ย. 2567 17:31 น.

Video

“The Summer Coffee Company” มากกว่า เครื่องดื่ม คือ ความสุข | Brand Story Exclusive EP.3

Summary

  • ชวนแกะสูตรลับ "แม็คยีนส์" แบรนด์กางเกงยีนส์สัญชาติไทย ที่อายุกำลังก้าวเข้าสู่เลข 5 กับภาพลักษณ์การเป็นแบรนด์รุ่นเก๋า ที่มองว่าแม้สินค้าดี และถูก แต่ "คนขาย" ต้องเก่งด้วย ล่าสุดได้ปั้น Mc Academy เพื่อสร้างคน พัฒนาองค์กร สู่การเรียนรู้แบบไร้ขีดจำกัด

Latest


“เมื่อฝีเข็มแรก ที่เกิดจากความใส่ใจในทุกรายละเอียดได้เริ่มต้นขึ้น จนกลายเป็นต้นแบบให้อีกหลายร้อยพันฝีเข็ม” 

ในที่นี้เรากำลังพูดถึง “แม็คยีนส์” แบรนด์กางเกงยีนส์สัญชาติไทย ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากร้านรับซักแห้ง “ซินไฉฮั้ว” แล้วค่อยๆ ขยับขยายสู่ธุรกิจรับฟอกผ้ายีนส์ กระทั่งหันมาสนใจเริ่มรับผลิตกางเกงยีนส์สำเร็จรูปตามคำสั่งซื้อของลูกค้า จนสุดท้ายก็ได้ปลุกปั้นแบรนด์ตัวเอง และในปี 2518 แม็คยีนส์ ตัวแรกก็ถือกำเนิดขึ้น 

ซึ่งจากวันนั้นจนถึงวันนี้ “แม็คยีนส์” ได้กลายมาเป็น ตำนานยีนส์ของคนไทย ที่มีอายุกว่า 49 ปี อะไรที่ทำให้แบรนด์กางเกงยีนส์ ผู้มีกระเป๋าทรงใบโพธิ์เป็นเอกลักษณ์ โลดแล่นอยู่ในตลาดได้นานเกือบ 5 ทศวรรษ พร้อมกับมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง 

ไม่ได้ขายแค่กางเกงยีนส์ แต่ขายไลฟ์สไตล์

คงจะไม่มีอะไรดีไปกว่าการเล่าเรื่องนี้ผ่านมุมมองของ ประพัฒน์ เสียงจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจและการขาย ของ บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) 

เริ่มแรก ประพัฒน์ เล่าว่า แม็คยีนส์ หรือ Mc เป็นองค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ ยอดนิยมอันดับ 1 ของไทย ที่ปัจจุบันไม่ได้ขายแค่กางเกงยีนส์ แต่ขายความเป็นไลฟ์สไตล์ที่ยากจะเลียนแบบ ทั้ง กระเป๋า เข็มขัด รองเท้า หมวก ฯลฯ ผ่านจุดจำหน่ายตั้งแต่ห้างสรรพสินค้าไปจนถึงปั๊มน้ำมัน 

โดยปัจจุบันแม็คยีนส์มีร้านค้าปลีกรวมกว่า 600 จุดทั่วประเทศ ส่วนทางด้านยอดขายสูงสุดของแม็คยีนส์จะอยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคอีสาน ขณะที่ยอดการซื้อเฉลี่ยจะอยู่ที่ 2.5 ชิ้นต่อคนต่อครั้ง ประมาณ 2,000 บาทต่อบิล ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะมีอายุระหว่าง 25-35 ปี และพบว่า Gen Z มีการเข้ามาซื้อมากขึ้น ทั้งนี้ในฝั่งของยอดขายจะมาจากช่องทางออฟไลน์ 89% ที่เหลือ 11% เป็นออนไลน์ ซึ่งกว่า 70% ของยอดขายออนไลน์ มาจาก TikTok 

ขายไม่เก่งไม่เป็นไร เราสอนให้ได้

ตรงจุดนี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้ว่าภาพของ “แม็คยีนส์” ในวันนี้จะดูทันสมัยขึ้น เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปนั่นคือ เรื่องของราคา โปรโมชั่น และ “คน” เนื่องจากมองว่า “สินค้าดีไม่จำเป็นต้องแพง ธุรกิจจะสำเร็จได้ “คนขาย” ต้องเก่งด้วย 

นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ “แม็คยีนส์” ที่ในอดีตจะมีแต่การพูดถึงเรื่องหุ้น ผลประกอบการ การตลาด และกลยุทธ์ แต่ในครั้งนี้กลับเลือกที่จะมาพูดในเรื่องของ “คน” มากขึ้น เพราะเชื่อว่า “สินค้าจะขายได้” ช่องทางการขายต้องดี และคนต้องขายเป็น ทำให้ล่าสุด แม็คกรุ๊ป หันมาปั้นแพลตฟอร์ม “MC Academy” เพื่อสร้างคน พัฒนาองค์กร สู่การเรียนรู้แบบไร้ขีดจำกัด 

ประพัฒน์ กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันแม็คกรุ๊ปฯ มีพนักงานมากกว่า 2,000 คน โดยที่ Mc Academy จะเป็นการบูรณาการในการฝึกอบรมพัฒนาและการสร้างทักษะในการทำงาน ปรับวัฒนธรรมการเรียนรู้ส่วนบุคคล กระตุ้นความคิดเชิงวิเคราะห์ เพื่อสร้างความคิดสร้างสรรค์ รวมไปถึงการเพิ่มทักษะอื่นๆ ในเวลาเดียวกัน ผ่านระบบ LMS (Learning Management Systems) ที่เชื่อมต่อระหว่างผู้ให้การฝึกอบรม และผู้รับการฝึกอบรม ในแผนกต่างๆ โดยที่พนักงานสามารถเข้าถึงหลักสูตรและแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย ได้ตลอด 24 ชั่วโมง 

ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่พัฒนาคนในองค์กรเท่านั้น แต่ยังช่วยปั้นบุคลากรไปสู่อุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหลังจากนั้นสิ่งที่ตามมาคือ “ความพึงพอใจของลูกค้า” ที่มีส่วนช่วยในการ “เพิ่มยอดขาย” ในที่สุด ตรงจุดนี้เองถือเป็นแต้มต่อทางธุรกิจที่ “แม็คยีนส์” เล็งเห็น 

จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าจากฝีเข็มแรก สู่ 49 ปี และกำลังก้าวเข้าสู่ 5 ทศวรรษ แม็คยีนส์มีการปรับตัวมากแค่ไหน ตั้งแต่การ Collaboration กับขายหัวเราะ สำนักการ์ตูนไทย หรือแม้กระทั่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่ดึงอัตลักษณ์ 17 จังหวัด มาสกรีนลงบน “เสื้อยืด” สะท้อนให้เห็นว่าภาพของแบรนด์กางเกงยีนส์ตัวเก่ง ที่ใส่มาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ คุณแม่นี้ไม่ใช่กระแสที่มาแล้วไป อย่าง Fast Fasion ที่เน้นการผลิตเสื้อผ้าแบบเร็วๆ ราคาถูก ใช้ได้ไม่นาน แต่เป็น “ร้านค้าไลฟ์สไตล์” แต่ไม่ว่าจะยุคไหน ก็ยังคงหยิบมาใส่ได้เสมอ 

และนั่นเองจึงทำให้ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปีบัญชี 2567 (1 ก.ค. 2566-31 มี.ค. 2567) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 577 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.8% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 525 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 17.9% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นยังอยู่ในระดับสูง ที่ 64.1% โดยในงวด 9 เดือนบริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้า 3,178 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 346 ล้านบาท คิดเป็น 12.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปีบัญชี 2567 (1 ม.ค. 2567-31 มี.ค. 2567) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ จำนวน 165 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้ารวม 995 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 

ติดตามข้อมูลด้านการตลาด กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/business_marketing

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์