กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี (BHIRAJ BURI GROUP) ได้เปิดตัวคอมมูนิตี้เพื่อการออกกำลังกาย ภายใต้ชื่อ BEAT Active เป็นเวลากว่า 1 ปี บนพื้นที่กว่า 10,200 ตารางเมตร ที่ BITEC BURI ศูนย์ประชุมและศูนย์แสดงสินค้าระดับแนวหน้าของประเทศไทย โดยจุดเด่นของ BEAT Active คือการจัดเต็มกับกิจกรรมการออกกำลังกายรูปแบบใหม่ๆ ถึง 55 รายการสุดล้ำ พร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์แอ็กทีฟของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย
ล่าสุด BEAT Active ยังเดินหน้าโชว์ศักยภาพของการเป็นกิจกรรมกีฬาที่มาพร้อมความบันเทิง หรือ Sports Entertainment ระดับ World Class ให้นานาประเทศรับรู้ผ่านงานใหญ่อย่าง งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมสวนสนุกและสถานที่ท่องเที่ยวจากทั่วโลก หรือ IAAPA EXPO ASIA 2024 ของสมาคมผู้ประกอบการเกี่ยวกับอุตสาหกรรมสวนสนุกและสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก หรือ IAAPA ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 27-30 พ.ค. 2567 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ได้มีการรวมตัวของสมาชิกสมาคม IAAPA ที่มีมากกว่า 6,000 ราย จากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก จะมาสำรวจเทรนด์ เทคโนโลยี และมองหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจ โดย BEAT Active ได้มีโอกาสทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านในการต้อนรับสมาชิก ผู้เข้าร่วมงานดังกล่าว และได้จัดกิจกรรม Reception Night เป็นการใช้พื้นที่และเปิดบ้านของ BEAT Active ณ BITEC BURI พร้อมเผยกิจกรรมแอ็กทีฟไลฟ์สไตล์ต่างๆ เพื่อให้ทุกคนรู้จักในมิติต่างๆ ดังนี้
สำหรับ BEAT Active เป็นคอมมูนิตี้เพื่อการออกกำลังกายที่ต้องการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆ ด้วยการผสานกีฬากับความบันเทิงอย่างลงตัว กลายเป็น Sports Entertainment ที่จะมาปลุกความแอ็กทีฟในตัวของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น คนรุ่นใหม่ ผู้ใหญ่ ครอบครัว รวมถึงองค์กรต่างๆ ที่ชวนพนักงานมาปลดปล่อยไลฟ์สไตล์แอ็กทีฟได้เต็มที่ ด้วยกิจกรรมกีฬามากถึง 55 ชนิด รวมถึงการดึงเทคโนโลยีมาตอบโจทย์ผู้บริโภคในโลกดิจิทัล โดยมีถึง 4 โซน เพื่อทำกิจกรรมตามความสนใจ ชื่นชอบ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของตนเอง
เริ่มที่โซนแรก Kids Zone เพื่อเอาใจเด็กเล็กที่มีความสูงไม่เกิน 120 เซนติเมตร ที่ต้องการพัฒนาร่างกายและส่งเสริมจินตนาการ โซนนี้มีกิจกรรมถึง 16 ชนิดให้ร่วมสนุก เช่น BEAT Space City, Active Ball Pit หรือ BEAT Trap Challenge ที่ให้น้องๆ ปล่อยพลังอย่างสนุกไร้ขีดจำกัด
โซนที่ 2 Novice Zone จะเด็กโต หรือผู้ใหญ่ ที่กำลังเริ่มต้นออกกำลังกาย สามารถเลือกกิจกรรมที่ชอบได้ตามใจกับ 23 ชนิดกีฬา เช่น ลานสเกตขนาดใหญ่ กิจกรรม BEAT The Street หรือ BEAT Active Jump ที่ผสานกับเทคโนโลยีเสมือนจริง หรือ Virtual Reality หรือ VR
โซนที่ 3 Advance Zone ใครที่ชอบความท้าทาย ห้ามพลาด เพราะกิจกรรมมีมากถึง 34 ชนิด เช่น BEAT Ice Cosmic, BEAT the Ski หรือ BEAT Augmented Wall
โซนที่ 4 Extreme Zone ต้องยกให้เป็นที่สุดของ BEAT Active เพราะจัดเต็ม 39 ชนิดกีฬา มาให้สายลุย ทั้งความผาดโผนแบบสุดขีด เอาใจคนรักความท้าทาย เช่น BEAT Extreme Climbing, BEAT Speed Climbing, BEAT Landing และ BEAT Military Active ถ้าต้องการวัดความแข็งแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ ไปสัมผัสประสบการณ์ด้วยตัวเอง
สำหรับทุกกิจกรรม ทุกอุปกรณ์ของ BEAT Active ยังตอกย้ำด้วย มาตรฐานระดับโลก จาก Thailand MICE Venue Standard (TMVS) ซึ่งทีมงานทั้งหมดที่จะคอยให้คำแนะนำรวมไปถึงการดูแลความปลอดภัยของผู้ใช้บริการ ได้ผ่านการอบรมหลักสูตรด้านความปลอดภัยระดับโลกหลายหลักสูตร เช่น IAAPA Safety Institute, IAAPA Institute for Attractions Professionals และ Institute for Attractions Managers
ศูนย์การค้าธนิยะ สีลม ตอกย้ำความเป็นที่หนึ่งของศูนย์การค้าอุปกรณ์กีฬากอล์ฟที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย จัดมหกรรมกอล์ฟเซลครั้งยิ่งใหญ่ ร่วมมือกับพาร์ตเนอร์แบรนด์กอล์ฟชั้นนำระดับโลกกว่า 50 แบรนด์ ยกขบวนสินค้ากอล์ฟหลากหลายประเภท อาทิ ไม้กอล์ฟ เสื้อผ้า อุปกรณ์เสริม และอื่นๆ อีกมากมาย มาลดราคาสุดคุ้มสูงสุดถึง 80% ทั้งศูนย์การค้า พร้อมจัดหนักกับสินค้าพิเศษที่จะลดเพิ่มตลอดแคมเปญ ในงาน THANIYA’S BIGGEST GOLF SALE ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 กรกฎาคม 2567
นายอชิต โจชิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โครงการวัน ซันโทรี่ มิซุอิกุ: เรารักษ์น้ำ ประจำปี 2567 มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายผลโครงการส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำของทั้งสองบริษัท มุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจถึงความสำคัญของทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมให้กับเยาวชน ผ่านการจัดกิจกรรม ค่าย มิซุอิกุ ผู้พิทักษ์รักษ์น้ำ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมผ่านกิจกรรมนอกห้องเรียน
รวมถึงมอบเงินสนับสนุนเพื่อพัฒนาและต่อยอดโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมภายในโรงเรียนแบบบูรณาการ และขยายผลสู่ชุมชนโดยรอบ เพื่อคัดเลือกเป็น โรงเรียนต้นแบบรักษ์น้ำ มิซุอิกุ ประจำปี 2567 ตลอดจนกิจกรรมอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ เพื่อปลูกฝังและส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมให้แก่คนในพื้นที่ และเปิดโอกาสให้พนักงานของบริษัทฯ ได้มีส่วนร่วม ซึ่งจะช่วยให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในมิติสิ่งแวดล้อมและมิติทางสังคมอย่างเป็นรูปธรรม ตอกย้ำค่านิยมองค์กรของเรา คือ การเติบโตอย่างยั่งยืน (Growing for Good) ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งสองบริษัทยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจตลอดมา
นายโอเมอร์ มาลิค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ความมุ่งมั่นด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและการนำความเชี่ยวชาญของทั้งสองบริษัทมาปรับใช้เป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้โครงการ วัน ซันโทรี่ มิซุอิกุ: เรารักษ์น้ำ ประสบความสำเร็จ เมื่อเรามองภาพรวมในอนาคต เราจะพบว่าการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำนั้นมีความท้าทายเป็นอย่างมาก
โดยที่ความท้าทายเหล่านี้เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางน้ำ หรือภาวะโลกร้อน ที่ก่อให้เกิดภาวะน้ำท่วมหรือสถานการณ์ภัยแล้ง เราจึงต้องให้ความสำคัญกับการปลูกฝังเยาวชนให้มีจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์น้ำตั้งแต่วันนี้
ทั้งนี้ กลุ่มซันโทรี่ มีแผนงานที่จะขยายโครงการให้ความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำให้ครอบคลุมประชากรเด็กมากขึ้นในแต่ละประเทศที่มีการดำเนินโครงการมิซุอิกุ โดยในประเทศไทย เราทั้งสองบริษัทพร้อมที่จะดำเนินการเพื่อสนับสนุนให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ผ่านการขยายพื้นที่เป้าหมาย และเพิ่มกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเยาวชนได้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ความมุ่งมั่นของ ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทย และ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ตลอดจนความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้
สำหรับโครงการ วัน ซันโทรี่ มิซุอิกุ: เรารักษ์น้ำ ในปีนี้ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก ได้แก่ กิจกรรม ค่าย มิซุอิกุ ผู้พิทักษ์รักษ์น้ำ (Mizuiku Water Hero Camp) และกิจกรรมประกวดโรงเรียนต้นแบบรักษ์น้ำ มิซุอิกุ (Mizuiku Water Model School) โดยทำการคัดเลือกโรงเรียนระดับประถมศึกษาในจังหวัดเป้าหมาย ได้แก่ ระยอง และชลบุรี รวมทั้งสิ้น 30 โรงเรียน ซึ่งมีแกนนำนักเรียน ตัวแทนคุณครู และพนักงานจิตอาสาจากทั้งสองบริษัทกว่า 500 คน เข้าร่วมกิจกรรม
ทั้งนี้ เพื่อให้ความรู้แก่เยาวชนเกี่ยวกับความสำคัญของทรัพยากรน้ำ เข้าใจวัฏจักรของน้ำ และปัญหาของน้ำที่พบในท้องถิ่น ส่งเสริมให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจําวัน
นอกจากนี้ แกนนำนักเรียนและตัวแทนคุณครูยังมีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน พร้อมทั้งได้รับคำแนะนำจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาเป็น โรงเรียนต้นแบบรักษ์น้ำ มิซุอิกุ ตามบริบทของแต่ละโรงเรียน
เพื่อให้สามารถบูรณาการการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำให้ครอบคลุมทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ นโยบาย การมีส่วนร่วมของบุคลากร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการขยายผลสู่ชุมชนโดยรอบ โดยเมื่อจบกิจกรรมค่ายฯ โรงเรียนต่างๆ จะได้รับเงินสนับสนุนโรงเรียนละ 10,000 บาท เพื่อนำไปจัดทำแผนงานและดำเนินโครงการอนุรักษ์น้ำในโรงเรียน
พร้อมจัดตั้ง มิซุอิกุ คลับ เพื่อขับเคลื่อนและขยายผลโครงการ โดยแกนนำนักเรียนจากโรงเรียนที่ชนะการประกวด โรงเรียนต้นแบบรักษ์น้ำ มิซุอิกุ ในแต่ละจังหวัด จะได้เดินทางไปทัศนศึกษาเพื่อเรียนรู้ต้นกำเนิดของโครงการ มิซุอิกุ ณ ประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำที่เปิดโอกาสให้พนักงานของทั้งสองบริษัทได้มีส่วนร่วมอนุรักษ์น้ำไปพร้อมๆ กับการให้ความรู้และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่ชุมชนในพื้นที่
อเล็กซานเดอร์ ไซมอน เรนเดลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารศูนย์การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Education Centre : EEC) กล่าวว่า ผมเชื่อว่าการศึกษาเป็นคำตอบและเป็นวิธีที่ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติของเรายั่งยืนที่สุด เราจึงต้องเริ่มสร้างตั้งแต่รากฐานของความยั่งยืน ซึ่งก็คือความรู้สึกรัก หวงแหน และอยากปกป้องสิ่งๆ หนึ่ง จากความเชื่อนี้ทำให้ EEC เกิดขึ้นและดำเนินการมาถึงปัจจุบัน
ภายใต้ปรัชญาการเรียนรู้แบบ Let Nature be Our Classroom ให้ธรรมชาติเป็นห้องเรียนของเรา โดยกิจกรรมต่างๆ ภายในค่าย มิซุอิกุ ผู้พิทักษ์รักษ์น้ำ ถูกออกแบบภายใต้คอนเซปต์ ไม่มีน้ำ ไม่มีเรา เพื่อให้เห็นถึงประโยชน์ของน้ำในทุกมิติ และใช้การศึกษาเพื่อปลูกฝังการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ผ่านความเข้าใจในหลักการเหตุและผลการลงมือทำการสังเกตและเก็บข้อมูล การคิดวิเคราะห์ นำมาสู่การตกผลึกเป็นโครงการอนุรักษ์น้ำในโรงเรียนและชุมชนของตัวเอง ผ่านกิจกรรมสนุกสนาน และเนื้อหาที่เหมาะสมเข้าใจง่ายที่กระตุ้นให้เด็กๆ อยากเรียนรู้
ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมจากหน่วยงานภาครัฐและภาคการศึกษาที่จะเข้ามาแชร์ความรู้และประสบการณ์ต่างๆ เพื่อให้น้องๆ นักเรียนเห็นว่าน้ำคือสิ่งสำคัญในทุกๆ ด้านของชีวิต ทุกคนมีบทบาทในการรักษาน้ำ และต้องร่วมกันลงมืออนุรักษ์น้ำตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป
สำหรับโครงการ มิซุอิกุ ถือกำเนิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2547 โดยความริเริ่มของ บริษัท ซันโทรี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด ชื่อโครงการมาจากภาษาญี่ปุ่นคือ มิซุ แปลว่า น้ำ และ อิกุ แปลว่า การศึกษา มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ รวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในชุมชนและท้องถิ่น
ตลอดจนต่อยอดองค์ความรู้และปลูกฝังหัวใจแห่งการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำให้แก่เยาวชน เพื่อก่อให้เกิดความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ เป้าหมายที่ 6 (Sustainable Development Goals : SDG 6) เรื่องการสร้างหลักประกันในการจัดให้มีน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภค การจัดการน้ำที่ยั่งยืน และสุขาภิบาลสำหรับทุกคน โดยในปีนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญเนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 20 ปี ของโครงการ มิซุอิกุ ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นต้นแบบของโครงการ มิซุอิกุ ที่ได้ขยายการดำเนินโครงการไปยัง 8 ประเทศทั่วโลก
รวมถึงประเทศไทย ทั้งนี้มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งสิ้นกว่า 580,000 คน สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจจริงของ ซันโทรี่ กรุ๊ป ที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เพื่อส่งต่อทรัพยากรธรรมชาติอันล้ำค่านี้ให้แก่คนรุ่นหลังต่อไป.