เมื่อพูดถึงร้านเชนฟาสต์ฟู้ดประเภทพิซซ่า ส่วนใหญ่เรามักจะคุ้นชินกับ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี (The Pizza Company), พิซซ่าฮัท (Pizza Hut) ที่ไล่บี้ ห้ำหั่นผ่านการระดมอัดโปรโมชันกันมาตลอด จนกระทั่ง ‘เดอะ พิซซ่า คอมปะนี’ สามารถชิงส่วนแบ่งอันดับ 1 ในตลาดพิซซ่าไทยที่มีมูลค่าสูงถึง 10,000-11,000 ล้านบาทไปได้สำเร็จ ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 70%
ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีโปรโมชันชูโรงส่วนใหญ่ของ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี จะเป็น “ซื้อ 1 แถม 1” หรือแม้กระทั่งแคมเปญประกาศศักดาในการเป็น “King of Delivery” กับการส่งร้อนทุกถาด ส่งไวทุกที่ การันตี 30 นาที เพื่อตอกย้ำความแข็งแกร่งในฐานะแบรนด์ร้านพิซซ่าแนวหน้าของไทย แต่ต่อมาได้ท้าทายอีกขั้นกับการ การันตี ส่งเร็ว อร่อยร้อนๆ ได้ภายใน 20 นาที หากส่งช้ารับฟรี พิซซ่าแป้งหนานุ่ม ถาดกลาง หมวดคลาสสิก เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า “สั่งพิซซ่าทำไมต้องรอนาน?”
โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาได้ประกาศรีแบรนด์ครั้งใหญ่ปรับเปลี่ยนโลโก้ใหม่ทั้งตัวอักษร และรูปแบบ เน้นสีเขียวที่คนรุ่นใหม่ชื่นชอบ ปรับยูนิฟอร์มพนักงาน เมนูที่มีอาหารหลากหลาย ตลอดจนออกแบบร้านให้มีความสว่างและเรียบง่าย เพื่อสื่อถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ “เด็กลง” และสามารถเข้าไปในนั่งในใจคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น ทำให้ผลประกอบการของบริษัทฯ ที่ผ่านมาเติบโตเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
มาคราวนี้ปี 2567 เดอะ พิซซ่า คอมปะนี เล่นใหญ่! เดินหน้าสร้างการเติบโตแบบเต็มกำลัง หวังขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ด้วยการดึง “บิวกิ้น-พีพี” นั่งแท่นพรีเซนเตอร์คู่ครั้งแรก พร้อมส่งแคมเปญซื้อ 1 แถมฟรี 1 ถาด คู่ฟินขวัญใจมหาชนสำหรับพิซซ่าทุกหน้า ทุกขอบ จะเริ่ม 22 ก.พ. 67 ถึง 17 เมษายน 2567 เพื่อกระตุ้นยอดขายทั่วประเทศ ทั้งนี้สัญญาของพรีเซนเตอร์จะอยู่ระยะเวลา 1 ปี โดยคาดหวังยอดขายเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาไม่น้อยกว่า 15%
รวมทั้งย้ำจุดยืนความเป็นผู้นำด้านเดลิเวอรี่ “การันตีจัดส่งภายในระยะเวลา 20” ซึ่งเริ่มไปเมื่อวันที่ 20 ก.พ. ที่ผ่านมา (จากเดิมครัวใช้เวลาในครัว 15 นาที จัดส่ง 15 นาที เป็นครัว 12 นาที จัดส่ง 8 นาที ระยะทางจาก 5 กิโลเมตร เหลือ 3 กิโลเมตร) สำหรับ 40 สาขา ในกรุงเทพฯและปริมณฑล จากทั้งหมด 70 สาขา
ปัทม์ พงษ์วิทยาพิพัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (จำกัด) กล่าวว่า ไทยถือเป็นประเทศแรกที่ทำเรื่องการการันตีส่งไว ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เนื่องจากมีสาขา และกลุ่มลูกค้าที่เพียงพอ แต่ก็มีอินเดียทำด้วยเช่นกันแต่ไม่ได้มีการการันตี
ทั้งนี้ที่ผ่านมาตลาดพิซซ่าถือเป็นตลาดที่มีการแข่งขันดุเดือด มีผู้เล่นแบรนด์อื่น และโฮมเมดอิตาเลียนสไตล์ ที่เปิดตามโลเคชันต่างๆ จำนวนมาก ที่ผ่านมาเดอะ พิซซ่า คอมปะนี นับเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของไมเนอร์ฟู้ด ที่ทำยอดขาย กำไร สูงสุดในประวัติศาสตร์กว่า 100%
ขณะเดียวกันในช่วงก่อนโควิดยอดขายส่วนใหญ่มาจากฝั่งเดลิเวอรี่ 25% ต่อมาหลังสถานการณ์โควิดเบาบางลง คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติ เดลิเวอรี่ยังคงเป็นช่องทางรายได้สำคัญ ด้วยสัดส่วนมากกว่า 45% (โดยเฉลี่ยยอดเดลิเวอรี่ต่อสาขา อยู่ที่ประมาณ 2,500-3,000 ทรานเซกชั่นต่อเดือน ต่อสาขา) ส่วนนั่งทานในร้าน (Dine-in) อยู่ที่ 30% และซื้อกลับบ้าน (Take away) 25% ซึ่งการปรับลดเวลาส่งให้เร็วขึ้นทำให้สามารถเพิ่มยอดขายเติบโตขึ้น 20-30% ผ่านไรเดอร์ที่มีอยู่ 2,000 คนทั่วประเทศ
ธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในมุมของเดอะ พิซซ่า คอมปะนี โดยภาพรวมปี 2567 มีการวางแผนที่จะขยายสาขาเพิ่ม 25 สาขา หลักๆ เป็นกรุงเทพฯ 10 สาขา ต่างจังหวัดอีก 15 สาขา ภายใต้งบลงทุนกว่า 300 ล้านบาท (เฉพาะในเมืองไทย) ขณะที่ปีที่ผ่านมามีการเปิดสาขาใหม่ 20 สาขา ทั้งนี้หากรวมทั่วโลกมี 590 สาขา (7-8 ประเทศ) ส่วนไทย 420 สาขา แฟรนไชส์ 200 สาขา
จากข้อมูลอินไซต์ภาพรวมคนไทยบริโภคพิซซ่า 3 เดือนต่อ 1 ครั้ง ส่วนของเดอะ พิซซ่า คอมปะนี หากแบ่งสัดส่วนของฐานลูกค้าเป็นคนรุ่นใหม่ 20% คนทำงาน 25% ที่เหลือคือครอบครัวและเด็ก 55% ขณะที่กลุ่มคนทานเดี่ยวจะอยู่ที่ 20% ซึ่งตรงจุดนี้จะมีการปรับทัพ ทำ Combo set เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเทรนด์ผู้บริโภคทานเดี่ยวเติบโตมากกว่าค่าเฉลี่ย
ส่วนโปรดักต์ของเดอะ พิซซ่า คอมปะนี แบ่งเป็นพิซซ่าโดยเฉลี่ย 75% ส่วน 25% เป็นสินค้าอื่น ขณะที่พิซซ่ายอดนิยมได้แก่ ฮาวาเอี้ยน ซีฟู้ดคอกเทล แฮมปูอัด ดับเบิลชีส ดีลักซ์ ตามลำดับ และหนานุ่มยังคงเป็นรูปแบบโปรดเบอร์หนึ่งครองใจผู้บริโภค โดยช่วงมื้อค่ำจะเป็นช่วงที่นิยมสั่งเยอะสุด ขณะเดียวกันจากการที่คนไทยมีจำนวนกว่า 66 ล้านคน 7 ล้านครัวเรือน บริษัทฯ สามารถเข้าถึงแล้วกว่า 60% ของ 7 ล้านครัวเรือน ทั้ง 76 จังหวัด ด้าน The Pizza Club Card ปัจจุบันมียูสเซอร์ประมาณ 3 แสนคน และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 100% ภายในปี 67 พร้อมทั้งคาดว่าในปี 2567ยอดขายจะเติบโต 15%