ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ย.2566 ราคาหุ้นบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) หรือ JKN ทันทีที่เปิดตลาดเช้าร่วงลงทันที ลดลง 0.33 บาท หรือติดลบ 30.27% จากวันก่อนหน้ามาที่ 0.76 บาท หลังจากช่วงก่อนเปิดตลาด ซึ่งนายจักรพงษ์ หรือแอน จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ JKN ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 7 พ.ย.2566 มีมติอนุมัติให้บริษัทในฐานะลูกหนี้ยื่นคําร้องขอฟื้นฟูกิจการและเสนอผู้จัดทําแผนฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางภายใต้พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 (รวมที่แก้ไขเพิ่มเติม) โดยได้ยื่นคําร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 8 พ.ย.2566 โดยข้อสรุปสาระสำคัญของคําร้องฟื้นฟูกิจการ ได้แก่ 1.บริษัทในฐานะลูกหนี้เป็นผู้ยื่นคําร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง 2.บริษัทเสนอบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) เป็นผู้ทําแผน
3.แนวทางของแผนฟื้นฟูกิจการในเบื้องต้น ประกอบด้วยการปรับโครงสร้างกิจการและโครงสร้างทางการเงิน เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท รวมถึงการปรับโครงสร้างภายในองค์กร, การขยายระยะเวลาการชําระหนี้ การผ่อนผันอัตราดอกเบี้ย, การรับเงินสนับสนุนจากแหล่งเงินทุน ผ่านผู้ลงทุนรายใหม่หรือสถาบันการเงิน, การจัดหาแนวทางขายทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์หรือก่อให้เกิดรายได้ เพื่อนําเงินมาชำระหนี้, การจัดเตรียมแผนงานและกลยุทธ์ในการบริหารสภาพคล่อง
ทั้งนี้ การเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการของบริษัท จะช่วยแก้ไขปัญหาสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีกฎหมายรองรับและให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรม อีกทั้งยังสามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้ในระหว่างที่อยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ เพื่อการแก้ไขปัญหาของบริษัท และเพื่อสร้างผลกําไรในอนาคต
ในช่วงที่ผ่านมา JKN ได้ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระให้แก่เจ้าหนี้ โดยขอผ่อนผันขยายเวลา และยังมีหุ้นกู้อีกจำนวนหนึ่งที่ใกล้ครบกำหนดชำระหนี้ รวมประมาณ 6,000 ล้านบาท ขณะที่งบการเงินล่าสุด ณ สิ้น มิ.ย.66 ที่แจ้งตลาดฯบริษัทมีหนี้สินอยู่ที่ 7,398 ล้านบาท ขณะที่มีหนี้สินรวม 12,161 ล้านบาท ส่วนงบการเงินไตรมาส 3 ปี 66 นั้น ยังไม่ได้แจ้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า JKN ได้ออกเอกสารระบุ ได้ส่งหนังสือแจ้งผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นกู้ สถาบันการเงิน คู่ค้า เจ้าหนี้ และผู้ที่เกี่ยวข้องว่า คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้บริษัทยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ และเสนอผู้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ได้อาศัยแหล่งเงินทุนจากการดำเนินกิจการ ควบคู่กับแหล่งเงินทุนจากการออกตราสารหนี้หุ้นกู้ โดยได้นำกระแสเงินสดที่ได้จากการประกอบกิจการมาชำระหนี้ตลอดมา แต่เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนต่างๆมีความต้องการแหล่งเงินทุนในตลาดตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทต้องปรับต้นทุนทางการเงินของหุ้นกู้ให้สูงขึ้นทุกปี จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทต้องตกอยู่ในสภาวะขาดสภาพคล่องในที่สุด และเชื่อมั่นว่าการฟื้นฟูกิจการจะเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการแก้ปัญหาที่ประสบอยู่.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่