มั่นใจตลาดโตแซงยุโรป! "แอลทีจี กรุ๊ป" รุกบริหารเงินเศรษฐีเอเชีย

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

มั่นใจตลาดโตแซงยุโรป! "แอลทีจี กรุ๊ป" รุกบริหารเงินเศรษฐีเอเชีย

Date Time: 10 มี.ค. 2566 05:05 น.

Summary

  • ทันทีที่สถานการณ์โควิด–19 คลี่คลาย และไทยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก หรือแอลจีที กรุ๊ป กลุ่มบริษัทด้านการบริการไพรเวท แบงกิ้ง และการจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

Latest

จากเด็กชอบคอมพิวเตอร์สู่ "iHAVECPU" จากทุน 4 หมื่นสู่ยอดขาย 1,800 ล้านบาท

ทันทีที่สถานการณ์โควิด–19 คลี่คลาย และไทยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก หรือแอลจีที กรุ๊ป กลุ่มบริษัทด้านการบริการไพรเวท แบงกิ้ง และการจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งก่อตั้งและบริหารงานโดยราชวงศ์แห่งลิกเตนสไตน์มากกว่า 100 ปี ซึ่งเป็นครอบครัวที่ประสบความสำเร็จในการส่งต่อความมั่งคั่งนานกว่า 900 ปี ผ่านลูกหลานกว่า 30 รุ่น ได้ตัดสินใจใช้ โรงแรมโอเรียลเต็ล ประเทศไทย เป็นที่จัดประชุม คณะผู้บริหาร แอลจีที กรุ๊ปจากทั่วโลก

เป็นผลจากความชื่นชอบคนไทยและประเทศไทย ของเจ้าชายแมกซ์ ฟอน อุนด์ ซู ลิกเตนสไตน์ ที่ปัจจุบันนั่งเป็นประธานกรรมการ แอลจีที กรุ๊ป และยังถือโอกาสฉลองครบรอบ 4 ปี ที่ แอลจีที กรุ๊ป เข้ามาเปิดสำนักงานในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อเดือน มี.ค.2562 ที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อบริษัทหลักทรัพย์แอลจีที (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อให้บริการด้านการลงทุนและบริหารความมั่งคั่งให้กับมหาเศรษฐีชาวไทย ลูกค้าองค์กรและสถาบันการเงินในประเทศ รวมทั้งยังมีบริการกองทุนส่วนบุคคล สำหรับนำเงินออกไปลงทุนต่างประเทศ เพื่อรองรับความต้องการที่สูงขึ้นของนักลงทุนระดับมหาเศรษฐีของไทย รวมทั้งยังบริการจัดการสินทรัพย์หรือการสานต่อ-ส่งมอบความมั่งคั่งของธุรกิจครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่นที่เป็นความต้องการของคนเอเชียรวมทั้งไทย

ในโอกาสนี้ เจ้าชายแมกซ์ในฐานะประธานกรรมการแอลจีที กรุ๊ป ได้เปิดให้สื่อมวลชนไทยได้สัมภาษณ์ โดยเจ้าชายแมกซ์กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศที่ 3 ในเอเชียที่ แอลจีที กรุ๊ปเข้ามาตั้งสำนักงาน จาก 30 ปีก่อนหน้านี้ ได้เข้ามาตั้งสำนักงานที่ฮ่องกงและสิงคโปร์ เพราะมองเห็นศักยภาพการเติบโตของประเทศไทย โดยเจ้าชายแมกซ์ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจเอเชียว่ายังมีทิศทางเติบโตได้ดี ท่ามกลางที่สหรัฐฯและยุโรปยังมีปัญหาดอกเบี้ยและเงินเฟ้อสูง ที่นำไปสู่ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้มูลค่าความมั่งคั่ง หรือตลาดของธุรกิจการ บริหารสินทรัพย์ในเอเชีย มีโอกาสเติบโตได้ดีกว่า

โดยที่ผ่านมา มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ในภูมิภาคนี้ มีอัตราการเติบโตสูงสุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ที่กลุ่มบริษัทให้บริการ และหากเศรษฐกิจเอเชียยังคงรักษาอัตราการเติบโตแบบเดิมหรือเพิ่มขึ้น เหมือนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหรือมูลค่าการบริหารสินทรัพย์ในเอเชียจะใหญ่กว่ายุโรปได้ภายใน 2 ปีนี้แน่นอน ซึ่งปัจจุบัน AUM ที่แอลจีที กรุ๊ป บริหารให้กับลูกค้าในเอเชียมีมูลค่าสูงถึง 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 3.5 ล้านล้านบาท)

“เศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ดี มีภาคแรงงานที่ยังเติบโตได้ มีการขยายตัวของชนชั้นกลาง และมีการบริโภคการจับจ่ายใช้สอยที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นผลดีต่อตลาดในภูมิภาคนี้อย่างมาก ขณะที่ บล.แอลจีที ประเทศไทย มีฐานลูกค้าหลากหลาย นอกจากลูกค้าองค์กรแล้ว ได้ให้บริการลูกค้าบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูงตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป”

สำหรับทิศทางการลงทุนนั้น เจ้าชายแมกซ์กล่าวว่า ในฐานะที่ แอลจีที กรุ๊ป เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำด้านการลงทุนอย่างยั่งยืน ได้นำหลักการนี้มาใช้ในธุรกิจทุกด้านของบริษัท และนำเสนอโซลูชันการลงทุนอย่างยั่งยืน ลดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและบรรษัทภิบาล (ESG) ให้กับลูกค้า โดยจะไม่ลงทุนในภาคส่วนที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งต่อหลัก ESG โดยมั่นใจว่า การลงทุนในธุรกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืน จะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนทำให้มูลค่าสินทรัพย์เติบโตได้ในระยะยาว ขณะเดียวกันก็ช่วยสร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่นด้วย

ทั้งนี้ บริการของ แอลจีที กรุ๊ปประกอบด้วย 1.การจัดการกองทุนส่วนบุคคลที่มีนโยบายลงทุนอย่างยั่งยืน เป็นประเด็นสำคัญในการตัดสินลงทุน 2.การเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนอย่างยั่งยืน หากลูกค้าต้องการตัดสินใจด้วยตัวเอง 3.การนำเสนอโซลูชันการลงทุนเพื่อความยั่งยืนผ่านกองทุนรวม LGT Funds และ ETF

นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนแบบคำนึงถึงผลกระทบเชิงบวก (Impact Investing) เป็นการลงทุนในบริษัทที่มีความยั่งยืนและมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมุ่งเน้นสร้างผลตอบแทนที่น่าดึงดูด ขณะเดียวกันช่วยสร้างความแตกต่างในเชิงบวกที่จับต้องได้ ซึ่งการลงทุนนี้ได้ช่วยส่งเสริมเปลี่ยนแปลงเชิงระบบอย่างแท้จริง โดยส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทสตาร์ตอัพ ด้านนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่เข้ามาแก้ไขปัญหาที่โลกเผชิญอยู่ ซึ่งต้องการเงินทุนไปทำธุรกิจก่อนที่จะเติบโตและระดมทุนเข้าตลาดหุ้น “ความยั่งยืนเป็นค่านิยมหลักของ แอลจีที กรุ๊ป และอยู่ในดีเอ็นเอของเรา ถือเป็นแกนหลักของทุกการดำเนินการ โดยราชวงศ์ลิกเตนสไตน์ ผู้เป็นเจ้าของ LGT มีความมุ่งมั่นในการสร้างอนาคตที่มั่นคงให้คนรุ่นต่อไป ในฐานะ Private Bank ที่ให้บริการลูกค้าที่มีสินทรัพย์สูง จึงมีความสำคัญอย่างมาก ในการกำหนดทิศทางการจัดสรรและบริหารเงินทุนของลูกค้า เพื่อสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน”

ทั้งนี้ ปัจจุบันแอลจีที กรุ๊ป มี AUM ทั้งสิ้น 284,700 ล้านฟรังก์สวิส (ราว 297,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 10 ล้านล้านบาท ข้อมูล ณ 30 มิ.ย.65 มีพนักงานมากกว่า 4,500 คน ในยุโรป เอเชีย อเมริกา ออสเตรเลีย และเอเชียตะวันออกกลาง.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ