อสังหาฯ แข่งดุ ASW เปิด 12 โครงการใหม่ในปี 66 ตั้งยอดขายกว่า 15,000 ล้าน

แอสเซทไวส์ เตรียมเปิด 12 โครงการใหม่ ในปี 66 ครอบคลุมแนวสูงและแนวราบ มูลค่ารวมกว่า 22,500 ล้าน ตั้งเป้านิวไฮโกยยอดขายกว่า 15,000 ล้าน

เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 66 นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 นี้จะดีขึ้นจากปี 65 ที่ผ่านมา โดยได้ปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงขับเคลื่อนหลังจากการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ

รวมถึงนโยบายการกระตุ้นอสังหาฯ ของภาครัฐที่ยังคงดำเนินการต่อเนื่องในปี 2566 ซึ่งจะส่งผลดีต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในปีนี้ นอกจากนี้ต้องยอมรับว่าเทรนด์การหาที่อยู่อาศัยในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนไปจากอดีต ทั้งการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ หรือที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

จากภาพรวมปี 2565 ที่ผ่านมา แอสเซทไวส์ได้พัฒนาโครงการต่างๆ ซึ่งได้เสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยเฉพาะการขยายตลาด Campus Condo ภายใต้แบรนด์เคฟ หรือ Kave ที่เปิดโครงการมาแล้วกว่า 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 14,700 ล้านบาท และสร้างปรากฏการณ์การตอบรับอย่างล้นหลามจากลูกค้าภายหลังการเปิดตัว

โดย ณ สิ้นปี 2565 บริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการรวม ทั้งสิ้น 47 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 49,900 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่ 34 โครงการ และโครงการที่กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา 13 โครงการ ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ หรือ Backlog มูลค่ารวมกว่า 12,935 ล้านบาท

นายกรมเชษฐ์ กล่าวอีกว่า จากปัจจัยบวกเหล่านี้แอสเซทไวส์มองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการคว้าโอกาสขยายธุรกิจเชิงรุกด้วยการใช้จุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ 3 กุญแจสำคัญในการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่

- Continue : บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่สูงที่สุดตั้งแต่บริษัทได้ดำเนินธุรกิจมา จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 22,500 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 70% แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ Kave, Atmoz และ Modiz จำนวน 9 โครงการ มูลค่ารวม 15,830 ล้านบาท

โครงการบ้าน 3 โครงการ หรือ 30% มูลค่ารวม 6,670 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ The Honor และ แบรนด์แนวราบน้องใหม่กับ แบรนด์ดิ อาร์เบอร์ หรือ The Arbor โดยบริษัทฯ วางเป้าหมายการเติบโตของยอดขายที่ระดับ 15,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารับรู้รายได้ในปีนี้ที่ 7,200 ล้านบาท

- Connect: แอสเซทไวส์ยังมุ่งสร้างการเติบโตในธุรกิจใหม่ เพื่อเติมเต็มพอร์ตให้แข็งแกร่งครอบคลุมทำเลทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ล่าสุดเราได้ร่วมทุน กับบริษัท โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในจังหวัดภูเก็ต ในโครงการโบทานิก้า แกรนด์ อเวนิว ซึ่งเป็นพูลวิลล่าระดับลักชัวรีที่ดีที่สุดบนหาดบางเทา จังหวัดภูเก็ต เพื่อรุกขยายพอร์ตแนวราบระดับลักชัวรี มูลค่าโครงการกว่า 10,000 ล้านบาท

โดยก่อนหน้านี้เราได้ร่วมทุนกับ บริษัท ทาคาระ เลเบ็น จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของญี่ปุ่น ในการพัฒนาโครงการ แอทโมซ บางนา และโครงการเคฟ ซี้ด เกษตร มูลค่าโครงการกว่า 1,350 ล้านบาท

รวมถึงบริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาโครงการแอทโมซ โอเอซิส อ่อนนุช มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท และยังจับมือร่วมทุนกับ บริษัท ไอดีล เรียล จำกัด ในโครงการเคฟ มิวแทนท์ ศาลายา มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมองหาโอกาสในธุรกิจใหม่ในด้านไลฟ์สไตล์ เพื่อต่อยอด และกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ได้เข้าซื้อหุ้น 41.18% ในบริษัท แซ๊ป เวิลด์ เอ็นเตอร์ เทนเม้นท์ จำกัด หรือ ZAAP World ผู้ดำเนินธุรกิจ Lifestyle & Entertainment ครบวงจร ตอกย้ำการเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์ สู่การเป็นแบรนด์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครบทุกมิติ

-  Contribute: แอสเซทไวส์ยังเดินหน้าทำธุรกิจเพื่อให้เกิดความยั่งยืนควบคู่ไปกับการใส่ใจสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด GrowGreen โดยเริ่มต้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2564 เพื่อสร้าง Ecosystem ที่เกื้อหนุนให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีอีกด้วย

นายกรมเชษฐ์ กล่าวว่า ในปีนี้ถือว่าเป็นอีกปีที่มีความท้าทายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น การเปิดโครงการใหม่ หรือการขยายพอร์ตธุรกิจให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น สำหรับเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งของบริษัท เพื่อผลักดันให้เราก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำของธุรกิจอสังหาฯ ที่สร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์

รวมถึงการต่อยอดให้ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ด้วยเป้าหมายการรับรู้รายได้ 7,200 ล้านบาท และเป้าหมายยอดขายที่ 15,000 ล้านบาท ซึ่งเรามั่นใจว่าจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน.