“บิวกิ้น” พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล ศิลปินนักธุรกิจรุ่นใหม่กับการลงทุนที่ยั่งยืน

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

“บิวกิ้น” พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล ศิลปินนักธุรกิจรุ่นใหม่กับการลงทุนที่ยั่งยืน

Date Time: 27 ต.ค. 2565 05:07 น.

Summary

  • “อยากให้ของขวัญคนที่รักเป็นหุ้น หรือเปิดพอร์ตลงทุนเพื่อซื้อหุ้นให้” คำให้สัมภาษณ์ของ “บิวกิ้น” พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล นักร้อง-นักแสดง วัย 23 ปี ขวัญใจวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ที่มากความสามารถ

Latest

รอบรั้วการตลาด : Mega Clinic ทำ all-time high เปิดกลยุทธ์ตอบโจทย์ทุกช่วงวัย

“อยากให้ของขวัญคนที่รักเป็นหุ้น หรือเปิดพอร์ตลงทุนเพื่อซื้อหุ้นให้” คำให้สัมภาษณ์ของ “บิวกิ้น” พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล นักร้อง-นักแสดง วัย 23 ปี ขวัญใจวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ที่มากความสามารถ ดึงดูดให้เรา “ทีมเศรษฐกิจไทยรัฐ” สนใจอยากคุยถึงแนวคิดเรื่องการลงทุนและการทำธุรกิจของเขา

“ผมมองว่าการซื้อหุ้นให้เหมือนกับการที่เราเริ่มเดินทาง ไม่ว่าจะหุ้นไอพีโอหรือหุ้นที่อยู่ในตลาด เพราะเราต้องเลือกหุ้นที่เรามั่นใจว่าเป็นหุ้นที่ดี มีปัจจัยพื้นฐานดี มีโอกาสเติบโต ทำให้เห็นว่าเรากำลังจะเดินไปทางไหน การที่เราซื้อหุ้นให้ไม่ได้ซื้อให้เขาแค่ในวันนี้ แต่เราอยากจะให้เขาก้าวไปสู่อะไรในอนาคต สิ่งที่เราซื้อให้มันกำลังเดินไปทางไหน ที่จะไปกับเขาในอนาคต ซึ่งจะได้จากผลตอบแทนในการลงทุน มันเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงของเขาด้วย”

“บิวกิ้น” เล่าให้ฟังว่า เริ่มมีความคิดอย่างนี้ตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี (หลักสูตรนานาชาติ) มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ซึ่งมีเรียนไฟแนนซ์ด้วย และในช่วงที่โควิดระบาดหนัก ทำให้มีเวลาว่างมาก แต่เราหยุดอยู่กับที่ไม่ได้ต้องหาอะไรทำ จึงได้ศึกษาเรื่องการลงทุนเพิ่มและได้ปรึกษาพี่ชายซึ่งทำงานอยู่ในบริษัทกองทุน จากนั้นจึงเริ่มเปิดพอร์ตลงทุนหุ้นครั้งแรกในเดือน มี.ค.63 หุ้นตัวแรกที่ซื้อคือหุ้น MINT ซึ่งตอนนั้นราคาลงไปมาก แต่เมื่อราคาขึ้นก็ขายทำกำไรออกไป รวมทั้งได้จองหุ้นไอพีโอ SGCP และหุ้นไอพีโอยอดนิยมอย่าง OR ด้วย

“จริงๆแล้ว ผมเป็นนักลงทุน VI (Value investor) ที่เน้นลงทุนระยะยาวในหุ้นคุณค่า พื้นฐานดี ธุรกิจมีโอกาสเติบโตแต่ราคายังไม่แพง แต่มีบางครั้งที่อยากสนุก เล่นเก็งกำไรหุ้นซิ่งบ้างแต่ไม่มาก ไม่กี่ % ของเงินในพอร์ต ซึ่งเป็นเงินเย็น ถือไม่เกินสัปดาห์ก็ปล่อย เพราะถือหุ้นซิ่งแล้วรู้สึกไม่สบายใจ ถ้าซื้อแล้วได้กำไรก็ขายเลย แต่ถ้าราคามันไม่ขึ้น ขาดทุนนิดหน่อยก็ยอมปล่อย โดยได้ศึกษาและเรียนดูกราฟด้านเทคนิคบ้าง แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาลงทุนเอง ไม่มีเวลาเฝ้ากราฟ ทำให้ไม่ค่อยเล่นหุ้นซิ่งแล้ว เพราะมีความเสี่ยง จึงเน้นลงทุนโดยดูปัจจัยพื้นฐานมากกว่า ได้ศึกษาดูงบการเงินหุ้นที่จะลงทุนบ้าง แต่ส่วนใหญ่ปรึกษาพี่ชายเพราะเขาทำงานด้านนี้อยู่แล้ว”

“บิวกิ้น” ยังบอกด้วยว่า ปัจจุบันจัดสรรรายได้มาลงทุนในหุ้นราว 20-30% โดยเน้นให้มืออาชีพบริหารจัดการให้ เป้าหมายในการลงทุนไม่ได้ ตั้งเป้าถึงขั้นอยากเป็น “เซียนหุ้น” แต่เป็นออปชันหนึ่งในการลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนมากกว่า พอเรามีรายได้มีเงินเย็นก็นำไปลงทุน หากจะเติมเงินลงทุนในพอร์ตก็จะเน้นให้มืออาชีพบริหารให้ ส่วนที่ลงทุนเองสัปดาห์หนึ่ง อาจมีเวลามาดูพอร์ตวันเดียว จึงซื้อตัวที่มั่นใจจริงๆ

มองว่าการลงทุนในหุ้นเป็นการนำเงินมาหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากเงินออม ซึ่งมีโอกาสได้ทั้งกำไรจากราคาหุ้นและเงินปันผลในระยะยาว ถ้าไม่มีเวลาหรือไม่มีความรู้ ก็ต้องให้มืออาชีพผู้จัดการกองทุนบริหารเงินลงทุนให้ เชื่อว่าคนรุ่นใหม่ปัจจุบันนี้ ให้ความสนใจกับการลงทุนมากขึ้น แต่การลงทุนมีความเสี่ยง อยากให้ศึกษาให้ดีถึงความเสี่ยงและโอกาส ผลตอบแทน การลงทุนขึ้นอยู่กับว่า เราจะรับความเสี่ยงได้แค่ไหน อย่ามองแต่ด้านที่ดีให้คิดถึงกรณีเลวร้ายที่สุดด้วย การซื้อหุ้นต้องดูพื้นฐาน และต้องติดตามข้อมูลข่าวสารตลอดเวลา เพราะเหตุการณ์หรือปัจจัยที่มีผลต่อมูลค่าและราคาหุ้นในแต่ละธุรกิจในทุกช่วงเวลาต้องวิเคราะห์ให้ดี

เราถามถึงบทบาทในการเป็นนักธุรกิจ ซึ่ง “บิวกิ้น” ได้ทำบริษัทเพื่อดูแลงานในวงการบันเทิงของตัวเอง หลังต้นสังกัด “นาดาว” ปิดตัวลง นอกจากนี้ เขายังตั้งบริษัททำธุรกิจวิตามินอาหารเสริมยี่ห้อ WITAL และได้ร่วมกับพาร์ตเนอร์คู่ใจ “พีพี กฤษฎ์ อำนวยเดชกร” ทำ Caremate ผลิตภัณฑ์บำรุงริมฝีปากที่ได้รับความนิยมขายดิบขายดีทั้งจากแฟนคลับชาวไทยและต่างประเทศ

ทั้งนี้ “บิวกิ้น” อธิบายไว้อย่างน่าสนใจว่า มุมคิดในการทำธุรกิจ ผมมองธุรกิจเป็นงานศิลปินของผมอันนึง สิ่งที่ผมจะลงไปทำ สิ่งที่ผมจะลงไปคิด สิ่งแรกคือเราต้องเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ว่ามันคือสิ่งที่ดีและมีประโยชน์จริงๆ และมันต้องเป็นตัวตนของเรา เราในฐานะเจ้าของหรือคนที่จะลงไป พรีเซนต์ สิ่งสิ่งนี้ให้คนเชื่อ Vision-mision มันตรงกับความเป็นตัวตนของเราจริงๆนี่คือพาร์ตหนึ่ง

แต่ในพาร์ตของธุรกิจจริงๆก็ต้องมองและวิเคราะห์ว่า ธุรกิจหรือสินค้าที่เราจะทำออกมา มันมีความเป็นไปได้จริงมั้ย มัน serve ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายกลุ่มไหน และมันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไปช่วยแก้ปัญหา pain point ที่มีอยู่ได้จริงหรือไม่ รวมทั้งมูลค่าตลาดมันมากพอที่เราจะลงไปทำมั้ย อย่างธุรกิจอาหารเสริมซึ่งเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ต้องดูว่าชีวิตเราอยากจะพัฒนาตัวเองและเราให้ความสำคัญกับสุขภาพด้านไหน ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์เรา

อย่าง WITAL อาหารเสริมของผมมีหลายผลิตภัณฑ์ ทั้ง B plus sage ที่เน้นช่วยบำรุงสมองและระบบประสาทความจำและ I MMU-THYME ที่ช่วยสร้างภูมิต้านทาน มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราที่ต้องใช้สมองในการคิดวางแผนในการทำงานและต้องทำให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ

เมื่อถามว่า ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุ น้อย 23 ปี มีชื่อเสียงและเงินทองไหลเข้ามามากมาย ยังมีอะไรท้าทายที่ต้องทำอีก “บิวกิ้น” ย้ำว่า เป้าหมายผมไม่ได้อยากรวย เป็น priority แรก เราทำงานทำธุรกิจ กำไรอาจเป็นส่วนหนึ่งของ KPI แต่จริงๆแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การที่เราได้ลงไปทำด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นความภูมิใจ แต่ชีวิตเราได้เจออะไรใหม่ๆเข้ามามากมาย ก็ทำให้มีแรงจูงใจ motivation ที่อยากจะทำอะไรใหม่ๆอยู่เรื่อยๆ

“ในหัวผมตอนนี้ อยากทำหลายอย่างมาก ผมอินกับ เรื่อง Sustainability การทำธุรกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืน อยากลงไปจับตรงนี้เพราะเป็นเทรนด์ของโลกที่ต้องให้ความสำคัญ ผมอินกับเรื่องนี้คิดว่าเราอยากจะเปลี่ยนอะไร ทุกวันนี้มันมี pain point อะไร สิ่งที่ยากคือเราจะเปลี่ยนมันยังไง ก็ต้องมีวิธีนำเสนอ ทำให้คนเชื่อว่า มันสามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้จริงๆ นอกจากนี้ ยังอยากกลับไปดูธุรกิจครอบครัว ที่ทำส่งออก SCULPTURRE ประติมากรรมทองเหลือง อยากจะรีแบรนด์ อยากเพิ่มมูลค่าเพิ่มเข้าไปในสินค้า ปรับรูปแบบธุรกิจให้ดีขึ้น พัฒนาขึ้น”

หลายอย่างที่ทำ ไม่ได้มองว่าอยากได้เงิน มันอยากสนุก อยากทำความคิดนี้หรือไอเดียนี้ให้มันเป็นจริงมากกว่า อยากสนุกมากกว่าในวันนี้ พอเราไม่ได้เป็นห่วงเรื่องอะไร ชีวิตเรา drive ด้วย passion ถ้าเราทำอย่างเต็มที่ด้วยใจด้วยเซ้นส์ของเราจริงๆก็มั่นใจว่าอยู่รอดได้ ทำแล้วขาดทุนก็คงไม่ทำ แต่กำไรหรือเงินไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด กำไรมากกำไรน้อย รู้สึกว่าสนุก ได้ทำ ได้ท้าทายตัวเอง และได้มีประโยชน์ต่อคนอื่นๆด้วย ก็ถือว่าโอเค บรรลุเป้าหมายเราแล้ว” ซีอีโอหนุ่มทิ้งท้าย.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ