วีเอสที อีซีเอส ชี้ Chipset ขาดแคลนเป็นไปตามกลไกตลาด หลังความต้องการใช้สูง ไม่เกี่ยวปัญหาจีน-ไต้หวัน คาดจบปี 65 รายได้แตะ 3.4 หมื่นล้าน
นายสมศักดิ์ เพ็ชรทวีพรเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมของกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอกนิกส์ หรือ Chipset ที่ยังคงขาดแคลนนั้น ไม่ได้เกิดจากปัญหาระหว่างจีน และไต้หวัน แต่เป็นไปตามกลไกลตลาด
โดยก่อนหน้านี้ชิปตัวใหญ่ของสมาร์ทโฟนก็มีปัญหาขาดแคลนอยู่แล้ว เนื่องจากดีมานด์การใช้ชิปสูงขึ้นจริงๆ แต่ปัจจุบันการใช้ Chipset นั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่สมาร์ทโฟนแล้ว แต่เรายังนำไปใช้ในหลายอุปกรณ์ เช่น IOT รถยนต์ และอุตสาหกรรมต่างๆ ใช้ชิปตัวเดียวกันเกือบทั้งหมด
"จากที่ผมได้ไปร่วมงาน VMware ที่สิงคโปร์ คาดการณ์ว่า 2 ปีหลังโควิด โลกจะใช้ไอทีสูงขึ้นประมาณ 25% ทำให้เราเห็นว่าดีมานด์สูงขึ้นอย่างชัดเจนเพราะการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ทำให้ธุรกิจไอทียังอยู่ในกระแสของความจำเป็นต้องใช้ ต้องมีอย่างยิ่ง"
สำหรับภาพรวมครึ่งปีแรก 65 ของวีเอสที อีซีเอส เติบโตขึ้นประมาณ 12% ซึ่งก็โตเพิ่มขึ้นหากเทียบกับปีที่แล้ว ที่โตเพียง 10% เช่นกัน แต่ในความเป็นจริงปี 65 นี้ควรจะเติบโตได้มากกว่า 12% แต่การขาดแคลน Chipset ทำให้ลูกค้าฝั่งองค์กร หรือ Enterprise ที่เป็นสินค้าประเภทเน็ตเวิร์ก ทั้งซิสโก้ อารูบ้า ขาดตลาดอย่างรุนแรง รวมทั้งสินค้าไฮเอนด์เน็ตเวิร์ก เช่น F5, Arista, Cisco, Aruba ขาดตลาดทั้งหมด
ทั้งนี้ ส่งผลให้ต้องรอของกันนานถึง 1 ปี ซึ่งบริษัทได้มีการของสั่งไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว และทยอยส่งเข้ามาในปีนี้ ตัวเลขถึงได้ไต่ขึ้นมาได้ แต่การเติบโตของเราก็ยังดูน้อย จึงเป็นแค่ 12% ซึ่งถ้าของไม่ขาด และยังส่งของให้ลูกค้าได้ ก็น่าจะโตถึง 16-18% ซึ่งเราได้รับความร่วมมือจากบริษัทที่เป็นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ ที่มีความใกล้ชิดและทำโปรเจกต์ร่วมกันมานาน
ส่วนอีกปัจจัยที่ทำให้โต คือ ความต้องการใช้ไอทีมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในภาคธุรกิจรายเล็ก กลางใหญ่ ธนาคาร ภาครัฐทั้งระดับประเทศและท้องถิ่น ต้องการระบบเน็ตเวิร์กที่คุณภาพสูงขึ้น ระบบสตอเรจคุณภาพดี ระบบซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น การทำงานโดยไม่ใช้กระดาษ การทำ E-Signature ซิเคียวริตี้ที่ป้องกัน cyber attack พวกนี้จะเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ทั้งหมด
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า แม้ตัวเลขคอนซูเมอร์ในครึ่งปีแรกลดลง แต่เป็นเพราะเรามีความใกล้ชิดกับลูกค้ามาก ทำให้ไปกินแชร์จากคนอื่นมาได้ จึงทำให้เรามีการเติบโตแม้เพียงแค่ single digit ก็ตาม ส่วนเหตุผลที่ตลาดโน้ตบุ๊กโตน้อย มาจากกำลังซื้อลดลงเพราะค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น และสภาพเศรษฐกิจ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ
ภาพที่เห็น ณ ตอนนี้ หลังจากเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 3/65 มาคือ ตลาดคอนซูเมอร์ ดร็อปลง ดูได้จากสินค้ากลุ่มนี้ไม่ shortage มาตั้งแต่ต้นปีแล้ว ตอนนี้ของล้นตลาด เพราะกำลังซื้อหดหาย ภาพรวมยอดขายของไตรมาสสามถือว่าติดลบในกลุ่มของคอนซูเมอร์เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ทุกคนก็คาดหวังว่าปลายปีน่าจะดีขึ้นเพราะเป็นช่วงเทศกาล
อย่างไรก็ตาม SMB หรือธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางถือเป็นรากฐานใหญ่ สร้างความเติบโตอย่างถาวร การเข้าหาเงินทุนลำบาก ขาดการซัพพอร์ตจากรัฐบาลทำให้ขยายธุรกิจได้ยากเมื่อเทียบกับบริษัทใหญ่ที่มีความเข้มแข็งด้านการเงินมากกว่า เรื่อง SMB เป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติที่รัฐบาลควรเข้ามาดูแล เรื่องสำคัญคือ แหล่งเงินทุนกู้ให้กับ SMB เพื่อให้ธุรกิจภาพรวมของทั้งประเทศไปต่อได้อย่างมั่นคง
ส่วนตลาดฝั่ง Government เป็นรายได้ก้อนใหญ่มาก เพราะรัฐบาลมีการใช้เงินลงทุนอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะเป็นหน่วยงานท้องถิ่น เช่น กทม. อบจ. อบต. ก็ยังมีเม็ดเงินจำนวนมาก และมีโปรเจกต์อีกเป็นจำนวนมากอีกด้วย
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า เราประมาณคาดการณ์รายได้ครึ่งปีแรก 65 นี้อยู่ประมาณ 17,000 ล้านบาท ปีที่แล้วรายได้ทั้งปีที่ประมาณ 31,000 ล้านบาท สำหรับปี 2022 นี้คาดการณ์ว่ารายได้น่าจะอยู่ที่ 34,000 ล้านบาท และคาดการณ์โตที่ 10-12% โดยปี 2023 คาดหวังตัวเลขโตที่ 10-15%
ทั้งนี้เราได้ปรับปลี่ยนระบบภายในองค์กรให้เป็นดิจิทัลก่อนน่าที่จะเกิดโควิด เราเริ่มที่การทำ E-Document ทำระบบฐานข้อมูลใหม่ทั้งหมด โครงสร้างพื้นฐาน หรือ Infrastructure เพื่อรองรับการทำงาน anywhere anyplace ให้มีการทำงานอย่างรวดเร็วและปลอดภัย
นอกจากนี้พัฒนาในส่วน network, ทำรีพอร์ตใหม่, security ถ้าจะนับเม็ดเงินลงทุนเพื่อพัฒนาระบบภายในบริษัทใช้เงินไปมากกว่า 30-50 ล้านบาท นอกจากนี้เราได้รับการแต่งตั้งให้เป็น exclusive ของสินค้า HP Multi-Function A3 อีกด้วย